นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC)กำลังเจรจากับผู้ถือหุ้นทั้งกระทรวงการคลังและสถาบันอื่นๆ เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มทุน เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากใน 1-2 เดือน ทำให้TSFC ขาดทุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของพอร์ตตัวเองเป็นจำนวนมากจนมีเงินกองทุนต่ำ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.ได้สั่งการให้บริษัทแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โครสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ TSFC ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง 10.73%, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)5.00%, ธนาคารพาณิชย์ภาครัฐและเอกชนรวม 13 แห่ง 37.59%, บริษัทหลักทรัพย์ 19 แห่ง 16.42%, บริษัทเงินทุน 2 แห่ง 1.56% และ สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการจากวิกฤติปี 40 โดยมีกองทุนฟื้นฟูฯเป็นเจ้าหนี้ 28.69%
ทั้งนี้ TSFC ถูกบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating)จาก“A"เป็น“BBB-"ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดของ investment grade โดยให้เหตุผลว่าเงินกองทุนของTSFC เมื่อคำนวณมูลค่าตามราคาตลาดเสื่อมค่าลง เนื่องจากบริษัทขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และมีการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้ margin loan เป็นจำนวนมาก
นายธีระชัย ระบุว่า สำหรับลูกหนี้ margin loan ที่กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์จาก TSFC ยังไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง เพราะจะไม่มีการบังคับให้ต้องขายหุ้นเพื่อชำระหนี้ทันที และข้อปฏิบัติจะเป็นไปตามสัญญาการกู้ยืมเงินที่ลูกค้าได้ทำไว้เดิมกับบริษัททุกประการ หรือหากลูกค้าประสงค์ที่จะโอนย้ายไปเป็นลูกหนี้มาร์จินของบริษัทหลักทรัพย์ทั่วไปรายอื่นที่ให้บริการ margin loan อยู่แล้วก็สามารถทำได้ จึงขอย้ำว่าลูกหนี้ margin loan ไม่ต้องกังวลใดๆ
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์รายอื่นๆ ที่ให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหลักนั้น ล้วนมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ทั้งระบบมีเพียงประมาณ 6,700 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของเงินกองทุน ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตลาดหลักทรัพย์จากวิกฤตเศรษฐกิจต่างประเทศครั้งนี้ที่มีผลกระทบต่อ TSFC เท่านั้น จึงจะไม่มีการกระทบระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ แต่อย่างใด