บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)ตั้งเป้าปี 52 ภาพรวมธุรกิจจะเติบโต 12% ขณะที่ยอดขายจะเติบโต 20% จากปีนี้ที่คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 1,200 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตทั้งการขยายตลาดส่งออก โดยจะมีการส่งออกไปญี่ปุ่นมากขึ้นเนื่องจากมองว่าญี่ปุ่นจะเป็นตลาดสำคัญ เพราะค่าเงินเยนที่แข็งค่า, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขาย
TUF มีแผนธุรกิจที่กำหนดว่าจะเพิ่มกำลังผลิตทุก 2-3 ปีประมาณ 30% เพื่อรองรับการขยายตลาด และในช่วงปี 53-54 บริษัทแผนออกหุ้นกู้เพื่อนำมารีไฟแนนซ์
ส่วนปี 51 คาดว่า TUF จะมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)เฉลี่ยอยู่ที่ 14-15% และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะจ่ายปันผลได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่ายในอัตรา 0.56 บาท/หุ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการ TUF กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมั่นใจว่ายอดขายปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 14-15%
สำหรับปีหน้า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในภาพรวมของปี 52 และปีต่อๆ ไปไว้ประมาณ 12% และหากคิดเป็นยอดขายคาดว่าจะเติบโตได้ 20%
พร้อมกับวางแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับการผลิต การขยายตลาดทั้งส่งออกและในประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย
"เงินลงทุนปกติของเราในแต่ละปี 1,200-1,500 ล้านบาท...และมีการเตรียมกำลังการผลิตเพิ่มทุก 2-3 ปี ประมาณ 30% เพื่อรองรับการเติบโต"นายธีรพงศ์ กล่าว
ปัจจุบัน TUF มีกำลังผลิตทูน่ากว่า 3.5 แสนตัน/ปี ผลิตกุ้ง อีกกว่า 4 หมื่นตัน/ปี บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 90% และในประเทศ 10%
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะออกสินค้าใหม่ครบทุกผลิตภัณฑ์ทั้งทูน่า กุ้ง โดยจะเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
นายธีรพงศ์ กล่าวถึงภาพรวมทูน่าว่า การที่ราคาทูน่าถูกลง ทำให้ราคาขายต้องปรับตัวลดลงตามไปด้วย แต่ทว่าก็มีข้อดีคือจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ อีกทั้งการที่ต้นทุนราคาทูน่าถูกลง ทำให้บริษัทสามารถทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น
ในส่วนของแนวโน้มราคาทูน่าในไตรมาส 4 มีโอกาสจะปรับลดลงมาที่ 1,300 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนปีหน้าคาดว่าราคาทูน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,400 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากปีนี้ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,700 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาจะไม่ลงไปต่ำกว่าระดับ 1,000 หรียญสหรัฐฯ/ตัน
นายธีรพงศ์ ยังแสดงความเห็นกรณีนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐมีนโยบายจะกีดกันการค้าในเอเชียว่า คงทำได้ยาก เพราะเวทีการค้าโลกคอยดูแลอยู่ แต่หากมีการกีดกันทางด้านการค้าจริงบริษัทฯ ก็พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับมือภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวภาวะวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บริษัทไม่เป็นห่วงแต่ก็ไม่ประมาท และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
*จ่ายปันผล H2/51 สูงกว่า H1/51,อาจออกหุ้นกู้อีกครั้งในช่วงปี 53-54
TUF เพิ่งประกาศออกหุ้นกู้ 2 ชุด ชุดแรกอายุ 2 ปี มูลค่า 1.5 พันล้านบาท โดยมี อัตราดอกเบี้ยที่ 4.70% ชุดที่สองอายุ 5 ปี มูลค่า 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ 5.50%
ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดพร้อมลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) อยู่ที่ 0.8 เท่า และจะพยายามรักษาดี/อี ไม่ให้เกิน 1 เท่า