นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า สมาคมได้จัดให้มีการหารือในกลุ่มบริษัทสมาชิก เมื่อวันที่ 9 พ.ย.51 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาความเกี่ยวเนื่องจากการที่กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล ได้ลงทุนไว้ในตราสารหนี้ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) ได้ข้อสรุปตรงกันว่าจะยังคงถือลงทุนตราสารหนี้ดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ สมาชิกยังมองว่าอันดับความน่าเชื่อถือของ TSFC ยังคงอยู่ระดับที่สามารถลงทุนได้(Investment Grade)และตราสารที่เสนอขายโดย TSFC มีราคาที่สะท้อนกับข้อมูลและสถานะการดำเนินงานของ TSFC ที่อ้างอิงได้ตามราคาที่ประกาศโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) อยู่แล้ว
ตราสารหนี้ที่เสนอขายโดย TSFC ปัจจุบันมีทั้งตราสารที่ทยอยครบกำหนดชำระทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยตราสารหนี้ระยะสั้นมีมูลค่ารวมประมาณ 6,500 ล้านบาท ทยอยครบกำหนดชำระนับตั้งแต่ไตรมาส 4/51 ไปจนถึงไตรมาส 3/52 และ TSFC ได้เตรียมสภาพคล่องเพียงพอไว้สำหรับชำระหนี้ที่ทยอยครบกำหนดแล้ว ซึ่งพิจารณาได้จากเงินลงทุนของ TSFC ที่มีการลงทุนส่วนใหญ่ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม รวมทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 12,600 ล้านบาท จึงประเมินได้ว่ามีสภาพคล่องเพียงพอต่อการชำระหนี้ที่จะทยอยครบกำหนด
นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจของ TSFC ก็มีลักษณะเฉพาะด้านการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ลงทุนเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยตามการสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรขึ้นมาของภาครัฐ โดย TSFC จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการระดมทุน (เงิน/หลักทรัพย์) ทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว เพื่อนำมาให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์กู้ยืม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินกิจการต่างๆ ทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
อนึ่ง บริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของ TSFC ลง 4 อันดับจาก“A"เป็น“BBB-"แต่ยังคงอยู่ในกลุ่ม investment grade โดยให้เหตุผลว่าเงินกองทุนของ TSFC เมื่อคำนวณมูลค่าตามราคาตลาดเสื่อมค่าลง เนื่องจากบริษัทขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และมีการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้ margin loan
นางวรวรรณ ยังกล่าวว่า การจัดตั้งของ TSFC ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลักที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ และเมื่อ TSFC ทำการเพิ่มทุนได้แล้ว สถานการณ์ก็น่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติ อันดับเครดิตของบริษัทน่าจะได้รับการปรับขึ้นเพราะฐานเงินทุนจะเพิ่มขึ้น
"สมาคมเชื่อมั่นว่า TSFC จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะเป็นองค์กรที่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ในอัตราสูงมาโดยตลอด"นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนกล่าว
โครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ TSFC มีสัดส่วน 62.17% ถือโดยหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงการคลัง 10.73%, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5.00%, กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 28.69%, ธนาคารไทยธนาคาร 6.63%,ธนาคารกรุงไทย 6.13%, ธนาคารออมสิน 5.00%, ธนาคารนครหลวงไทย 2.25%, ธนาคารทหารไทย 6.73% ,ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 10.86% รวมทั้งยังมีบริษัทเงินทุน 2 แห่งและบริษัทหลักทรัพย์ 19 แห่ง ถือหุ้นรวมกัน 17.99%