บมจ. ไทยออยล์(TOP) เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/51 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีจำนวนผลขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 5,802 ล้านบาท (หรือขาดทุนต่อหุ้น 2.84 บาท) เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 3/50 จำนวน 3,102 ล้านบาท (หรือกำไรต่อหุ้น 1.52 บาท) เนื่องจากบริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน
จากวิกฤตเศรษฐกิจของสถาบันการเงินที่เริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาและขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัว ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ ณ สิ้นไตรมาส 2/51 ที่ 128 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงมาอยู่ที่ 96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นไตรมาส 3/51 รวมทั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงทุกชนิดเช่นกัน
บริษัทฯ และบริษัทย่อยจึงมีขาดทุนก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและรายจ่ายตัดบัญชี (Negative EBITDA) ในไตรมาส 3/51 จำนวน 5,541 ล้านบาท บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาทจากความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ในขณะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง
แม้ว่าในไตรมาส 3/51 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 110,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47,325 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและการขยายกำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 (CDU-3) ของบริษัทฯ และการขยายกำลังการผลิตสารอะโรเมติกส์ของTPX และกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (Integrated Margin) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 5.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เท่ากับในไตรมาส 3/50
ใน 9 เดือนแรกของปี 51 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 333,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134,094 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมัน และอัตราการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 17,517 ล้านบาท ลดลง 5,519 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน
ดังนั้น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวมใน 9 เดือนแรกของปี 2551 จำนวน 8,617 ล้านบาท ลดลง 7,047 ล้านบาทจาก 9 เดือนแรกของปี 50