ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ KTC ที่ระดับ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 11, 2008 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความสามารถของคณะผู้บริหารและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกลดทอนบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า KTC จะสามารถรักษาสถานภาพผู้นำทางการตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตเอาไว้ได้แม้จะมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงอีกทั้งจะสามารถรักษาอัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระให้อยู่ในระดับ 4%-5% การมีฐานทุนที่เพียงพอ รวมทั้งระบบการดำเนินงานและระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีพอคาดว่าจะช่วยบริษัทลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจได้ในอนาคต

ทริสเรทติ้งรายงานว่า KTC ยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรที่ 12.4% ณ เดือน มิถุนายน 2551 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจอันได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ถือบัตรและอัตราขั้นต่ำในการจ่ายคืนหนี้ ตลอดจนการกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และเกณฑ์การตั้งสำรองที่สูงขึ้นล้วนมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 บริษัทมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 44,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% จาก 40,126 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 โดยยอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 เพิ่มขึ้น 3.7% จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 โดยอยู่ที่ 46,575 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ยอดสินเชื่อคงค้างประกอบด้วยสินเชื่อจากบัตรเครดิต 70% สินเชื่อส่วนบุคคล 26% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 3% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 1%

KTC ประกาศกำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2551 จำนวน 318 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.8% จากช่วงเดียวกันในปี 2550 นอกจากนี้ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 5.33%สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2551 จาก 4.90% ในช่วงเดียวกันของปี 2550 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) เพิ่มขึ้นจาก 0.65% จากครึ่งแรกของปี 2550 เป็น 0.68% ในช่วงเดียวกันของปี 2551 ถึงแม้ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 จะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2550 เนื่องจากการขยายตัวของยอดคงค้างสินเชื่อก็ตาม แต่อัตราส่วนของสินเชื่อค้างชำระกลับเพิ่มสูงขึ้น

สินเชื่อค้างชำระที่เกิน 90 วันของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 มีสัดส่วน 4.2% เพิ่มขึ้นจาก 3.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 จากสาเหตุ 2 ประการคือ การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อค้างชำระจากสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และกลยุทธ์ของบริษัทที่กระจายการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อไปยังสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อส่วนบุคคลนี้มีระดับความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า

บริษัทเพิ่มจำนวนกันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมจาก 2.51% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 เป็น 3.84% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 และ 3.83% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราส่วนของสินเชื่อค้างชำระของบริษัทที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อมีผลทำให้อัตราการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 13.64% ณ สิ้นปี 2549 เป็น 12.96% ณ สิ้นปี 2550 และ 12.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551

นอกจากนี้ อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินเชื่อรวมยังลดลงจาก 14.17% ณ สิ้นปี 2549 เป็น 13.25% ณ สิ้นปี 2550 และ 12.80% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนก็สะท้อนอัตราการก่อหนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5.94 เท่าในปี 2549 เป็น 6.33 เท่าในปี 2550 และเป็น 6.54 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551

สถานะสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของ KTC อยู่ในเกณฑ์เพียงพอ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 แหล่งเงินทุนของบริษัทมาจากทั้งสถาบันการเงินและตลาดตราสารหนี้ โดยโครงสร้างเงินทุนประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น 39% เงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งรวมเงินกู้ร่วม 31% และหุ้นกู้ 30% นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่ออีกจำนวน 13.03 พันล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้เป็นอย่างมาก ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ยอดรวมหนี้คงค้างของบริษัทที่มีกับธนาคารกรุงไทยมีเพียง 1.95 พันล้านบาท หรือ 15% ของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการใช้วงเงินดังกล่าวค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีนโยบายที่จะเก็บไว้เป็นแหล่งเงินทุนสำรองสุดท้าย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ