บมจ.ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์(TUCC)มั่นใจเป้ารายได้ปี 51 ไม่มีปัญหา ยังโตได้ตามเป้าที่ 15% แต่จะกำไรหรือไม่ ยังต้องลุ้นในไตรมาส 4/51 ก่อน เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นอยู่แบบนี้ก็มีโอกาสเห็นขาดทุนเช่นเดียวกับในไตรมาส 3/51 ส่วนปีหน้ายอมรับยังไม่มั่นใจว่ารายได้จะโต 15% เท่าปีนี้หรือไม่ คงต้องประเมินสถานการณ์ก่อน
นางสมนึก แสงอินทร์ กรรมการ TUCC เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า รายได้ในปี 51 ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่จะเติบโต 15% จาก 1,800-1,900 ล้านบาทในปี 50 เนื่องจากงวด 9 เดือนทำยอดขายได้แล้ว 1,600 กว่าล้านบาท แต่ในด้านกำไรสุทธิยังไม่ชัดเจน
"เป้ารายได้ไม่น่าจะมีปัญหา แต่คนจะไปดูกำไรสุทธิมากกว่า ซึ่งเราก็พยายามอยู่ ในสถานการณ์แบบนี้ทุกคนค่อนข้างต้องปรับกันมาก ไตรมาส 4/51 ถ้าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คงจะพลิกได้ ก็จะไม่เห็นตัวเลขเป็นลบ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คาดก็อาจจะยังเห็นอยู่ ก็หวังอยู่ว่าทุกคนจะรู้สึกว่าควรจะลงทุนได้แล้ว มั่นใจเรา" นางสมนึก กล่าว
*ลุ้นกำไรไตรมาส 4 หลังปรับกระบวนการผลิต-ธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/51 ยอมรับว่ายังคาดการณ์ยาก แม้จะมียอดขายมาก แต่ยังต้องปรับเรื่องกระบวนการทางด้านการผลิตและธุรกิจ ซึ่งหากสำเร็จก็มีโอกาสเห็นกำไรขึ้นมาทำให้รวมทั้งปีไม่ขาดทุน แต่หากสถานการณ์ยังไม่ได้ดีขึ้นก็เป็นไปได้ที่อาจจะเห็นตัวเลขผลการดำเนินงานเป็นลบแบบในไตรมาส 3/51
แต่ในแง่ของรายได้ยังน่าจะรักษาระดับเอาไว้ได้ โดยหากเทียบ 3 เดือนที่ผ่านมามีรายได้ 500 กว่าล้านบาท และในงวด 9 เดือนขายได้แล้ว 1,600 ล้านบาท หากนับตอนนี้ขาดอีกประมาณ 500 กว่าล้านบาทก็จะได้ตามเป้า
"ปีนี้ทั้งปีคาดการณ์ผลการดำเนินงานลำบาก โดยเฉพาะไตรมาส 4 ยังคาดการณ์ยาก หากปรับกระบวนการเป็นผลสำเร็จก็อาจจะมีผลกำไรขึ้นมา ก็จะทำให้ทั้งปีรวมแล้วยังไม่ขาดทุน แต่ถ้าสภาวะยังอยู่ในเกณฑ์แบบนี้ ไม่ดีขึ้นก็อาจจะเห็นตัวเลขผลการดำเนินงานเป็นลบแบบไตรมาส 3"นางสมนึก กล่าว
TUCC แจ้งผลประกอบการ ไตรมาส 3/51 ขาดทุนสุทธิ 54.16 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.17 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.86 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 บาท โดยในงวด 9 เดือนขาดทุน 61.10 ล้านบาท
นางสมนึก กล่าวว่า สาเหตุที่ไตรมาส 3/51 ขาดทุน ปัญหาหลักอยู่ที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกตัวแต่ไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายได้ ประกอบกับช่วงที่ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้บริษัทต้องเลือกลูกค้าที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง จึงทำให้บริษัทไม่สามารถเสนอขายราคาสูงได้ ขณะที่การลงทุนของบริษัทเดินหน้าไปแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้เข้ามาทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น
จากนี้ไปบริษัทจะเน้นปรับกระบวนการด้านการผลิต โดยในเรื่องวัตถุดิบไตรมาสนี้จะสต๊อกวัตถุดิบหมุนเวียนเร็วขึ้นเป็น 10-15 วัน จากเดิม 1 เดือน และปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์จากเดิมที่มีหลากหลายขนาด ให้ไปเน้นในสินค้าที่ทำกำไรมากขึ้น หากสินค้าตัวใดยังไม่ค่อยได้กำไรมาก หรือมีการแข่งขันสูงก็อาจจะปรับลดลงไป พร้อมกันนั้นก็จะพยายามปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
"เรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่เสาไฟฟ้าที่ลงทุนไปแล้วยังไม่ได้ตามเป้า ซึ่งจริงๆแล้วเราน่าจะได้ยอดมาแล้วในไตรมาส 3 แต่มีปัญหาเศรษฐกิจหลายคนที่เราไปเสนอไว้กำลังจะเซ็นสัญญาก็ดีเลย์ ถ้าไตรมาส 4 พวกนี้กลับมาเราก็จะได้ยอดกลับเข้ามา เพียงแต่ตัวใหม่ที่ไปเสนอก็น่าสนใจและมีศักยภาพที่ดี"นางสมนึก กล่าว
สถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อยอดคำสั่งซื้อสินค้าของบริษัทในช่วงนี้ เนื่องจากภาคธุรกิจต่างก็ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน เช่น กรณีของโรงแรมในเขาหลัก ที่ผู้ลงทุนชาวต่างชาติชะลอออร์เดอร์หลังจากเซ็นสัญญากันเมื่อ ส.ค.51 ซึ่งในแง่ของผู้ประกอบการภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีต้นทุนคงที่ค่อนข้างมาก ก็ยังต้องพยายามหาออร์เดอร์ต่อไป
*แนวโน้มปี 52 ยังไม่มั่นใจโตได้เท่าปีนี้ ระบุปัญหา fix cost สูง
นางสมนึก กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 52 ว่า ในแง่ของรายได้ยังไม่มั่นใจว่าจะเติบโต 15% เท่าปีนี้ได้หรือไม่ คงต้องประเมินสถานการณ์ก่อน เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก โดยจะให้ความสำคัญกับด้านต้นทุนค่อนข้างมาก
"ถ้าเป็น 2 เดือนก่อนเราไม่มั่นใจเลย แต่ถ้าดูช่วงนี้เราดูหลายๆ ประเทศที่ซัพพอร์ตเข้ามา และประกอบกับที่เราเข้าไปวางขายอยู่มองว่าลูกค้ายังค่อนข้างมีความต้องการซื้อมากอยู่ เพียงแต่ตัวกำไรต้องพยายามปรับ ทำอย่างไรคอร์สเราจะต่ำลงมา" นางสมนึก กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากรับทราบข้อมูลการวิเคราะห์จากหลายฝ่าย เห็นว่าปีหน้าคงต้องปรับตัวกันมากพอสมควร หลังจากที่ปรับมามากแล้วทั้งการสั่งซื้อวัตถุดิบ เงินทุนหมุนเวียน ค่าใช้จ่าย โดยปัญหาสำคัญคือ fix cost ที่ค่อนข้างสูง ขณะที่วัตถุดิบสำคัญอย่างสแตนเลส ซึ่งช่วงนี้อยู่ในภาวะลง แต่ปกติก็จะซื้อตามราคาตลาด
"ถ้าทำกำไรได้ไม่สูงการที่จะไป cover fix cost ก็จะลำบาก พอดีช่วงนี้เป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างลำบากทำให้ยังบวกกำไรไม่ได้ ปีหน้าต้องประเมินใหม่และต้องดูผลช่วงนี้เช่นกัน แต่ทุกคนก็บ่นลำบาก"นางสมนึก กล่าว
*กลุ่มผู้ถือหุ้นซื้อหุ้นคืนกันเอง/TUCC ยังไม่คิด
นางสมนึก เปิดเผยว่า บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน เนือ่งจกาต้องใช้กระแสเงินสดค่อนข้างมาก แต่หากเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นซื้อคืนกันเองเท่าที่ทราบก็พอมี แต่ในส่วนของบริษัทเองยังมีเรื่องที่จะต้องใช้เงินอยู่
สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมยังถืออยู่ โดยกลุ่มของนายยงยุทธ งามไกวัล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังรักษาสัดส่วนถือหุ้นใหญ่ และยืนยันจะไม่ทิ้ง ยังเป็นผู้บริหารอยู่และมีการประชุมกรรมการทุกเดือน ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นประมาณ 2,000 กว่าราย จากเดิมประมาณ 500-600 ราย มองว่าน่าจะกระจาย