นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) คาดว่า ในครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานจะสูงกว่าในครึ่งปีแรก ประกอบกับบริษัทมีการซื้อหุ้นคืน โดยจากวันเริ่มของโครงการมาถึงปัจจุบัน ได้มีการซื้อคืนแล้วประมาณร้อยละ 3 ของทุนชำระแล้ว เงินปันผลในครึ่งหลังนี้น่าจะสูงกว่าในครึ่งปีแรก
บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกได้จ่ายจากผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปีจำนวน 0.08 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานรวมทั้งปีของปี 2551 จะสามารถมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้จำนวน 150,000 ล้านบาท และในปี 2552 ภาวะวิกฤตทางการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
ดังนั้น จึงทบทวนการลงทุนขยายงานมาตั้งแต่ต้นปี 2551 และจะยังคงนโยบายไม่เพิ่มการลงทุนใน non-core assets พร้อมกับดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน
นอกจากนั้น ภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงยังทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่น่าจะอ่อนค่าลงจากช่วง 9 เดือนแรกของปี ทั้งหมดนี้จะทำให้ซีพีเอฟมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น
ส่วนเรื่องผลกระทบจากไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสุโขทัย เป็นการเกิดขึ้นในส่วนของการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคเข้าใจและมั่นใจในมาตรฐานการผลิตเนื้อไก่ของบริษัท และซีพีเอฟก็ได้ทำการแบรนดิ้ง (Branding) สินค้าเนื้อสัตว์ภายใต้ตรา ซีพี เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อยอดขายสินค้าเนื้อไก่ของบริษัท
สำหรับกิจการในต่างประเทศล่าสุดคือ ประเทศรัสเซียที่เริ่มดำเนินการผลิตแล้ว โดยจะเริ่มส่งรายได้จากการผลิตเข้ามาในต้นปีหน้า ซึ่งธุรกิจหลักในประเทศรัสเซียเป็นอาหารสัตว์บกและสุกรพันธุ์ที่จำหน่ายให้กับเกษตรกรชาวรัสเซียที่เดิมใช้อาหารสัตว์ผสมเอง หรืออาหารสัตว์ที่อาจจะมีคุณภาพไม่สูง ตลาดในส่วนนี้จึงยังคงมีโอกาสและศักยภาพในการขยายตัวอีกมาก ดังนั้นในปี 2552 รายได้จากประเทศรัสเซียน่าจะเติบโตตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้