(เพิ่มเติม) MINT คาดปี 51-52 รายได้-กำไรโตต่อ,มองโอกาสขยายธุรกิจแต่ทบทวนบางจุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 12, 2008 18:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) กล่าวว่า บริษัทยังมีเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องทั้งในด้านรายได้และกำไร รวมทั้งยังมองโอกาสการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอาหารและโรงแรม จากเงินสดที่มีในมือและวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่มีอยู่ราว 5 พันล้านบาท แต่อาจทบทวนการลงทุนบางจุดให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ

MINT คาดว่าในปี 51 รายได้จะเติบโต 15-20% และกำไรสุทธิน่าจะเติบโตมากกว่า 20% จากนั้นในปี 52 กำไรยังเติบโตต่อเนื่องได้ถึง 20% แม้ว่าในด้านรายได้จะเติบโต 8-10% เป็นการประเมินจากกรณีที่ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวซบเซา แต่หากทุกอย่างยังเป็นปกติ ก็น่าจะเติบโตได้ถึง 12-15%

ส่วนในปี 53 คาดว่ารายได้จะเติบโตถึง 20-25% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม ในโครงการเซ็นต์รีจีส โฮเต็ล แอนด์ เรสิเด้นท์,ย่านราชดำริ ที่ขณะนี้มียอดจองเข้ามาแล้ว 20-21 ยูนิตแล้ว จากที่มี 53 ยูนิต

"ตามแผน 5 ปี จนถึงปี 2009 กำไรสุทธิยังเติบโตได้ 20% แต่เรากำลัง revise แผนว่าในปีต่อ ๆ ไป เราจะสามารถทำกำไรได้แค่ไหน" นางปรารถนา กล่าว

นางปรารถนา กล่าวว่า ในปี 52 เนื่องจากธุรกิจอาหารยังมีสัดส่วนสูงถึง 50% ก็จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ดี ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็จะทำให้อัตราเข้าพักของโรงแรมปรับตัวลดลง แต่บริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า

อย่างไรก็ตาม มองว่าลูกค้าหลักที่เป็นชาวยุโรปถึง 40% ก็ยังน่าจะเดินทางเข้ามาพักผ่อนและท่องเที่ยวในไทย เพราะถือว่าเป็นแหล่งที่มีราคาถูก ซึ่งหากธุรกิจท่องเที่ยวไม่ได้รับผลกระทบก็จะทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทอยู่ที่เฉลี่ย 73% แต่ถ้าได้รับผลกระทบก็จะลดลงเหลือราว 63% ในปีหน้า

บริษัทยังมีแผนปรับขึ้นราคาค่าห้องพักอีก 5% ในปี 52 หลังจากคงอัตราเดิมในช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ให้เท่ากับช่วงโลว์ซีซั่น แต่คงไม่ถึงขั้นต้องปรับลดราคาลง

แต่การลงทุนของบริษัทอาจจะมีการลดขนาดลงในบางจุด หรือมีการทบทวนตามสภาพแวดล้อมของธุรกิจ เช่น กรณีของร้านคอฟฟี่คลับที่จะเปิดสาขาในไทย ตามแผนงานเดิมจะเปิด 3 สาขาในปีนี้ ก็ได้ลดลงเหลือ 1 สาขาที่ภูเก็ต เพราะธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัว

และส่วนในด้านการลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมในปีหน้า ซึ่งยังมี 2-3 โครงการที่ยังไม่เซ็นสัญญาก่อสร้าง ก็จะรอไปตัดสินใจอีกครั้งในไตรมาส 1/52 เช่น กรณีของโรงแรมอนันตรา เขาหลัก จ.พังงา มูลค่าลงทุนประมาณ 600-700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม งบลงทุนที่วางแผนในระยะ 5 ปี(ปี 51-55)ยังคงไว้ที่ 1.74 หมื่นล้านบาท โดยตามแผนงานในปี 52 จะมีการลงทุน 3.8 พันล้านบาท โดยแยกเป็นธุรกิจอาหาร 1 พันล้านบาท ซึ่งจะขยายสาขาใหม่ราว 100 สาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลัก ๆ คือ คอฟฟี่คลับ, ไทยเอ็กเพรส , เดอะ พิซซ่า และ สเวนเซ่น ด้านธุรกิจโรงแรมจะลงทุน 2.2 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจที่อยู่อาศัยจะลงทุน 600 ล้านบาท

นางปรารถนา กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทถือว่ามีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยบริษัทมีวงเงินกู้อยู่ 5 พันล้านบาทที่สามารถใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์เพื่อขยายธุรกิจอาหารและโรงแรมอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเทคโอเวอร์แบรนด์อาหารใหม่ของต่างประเทศเพิ่มอีก 1 ราย คาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาส 2/52 สำหรับการทำธุรกิจอาหารในประเทศจีนในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 3 ยังคงขาดทุนใกล้เคียงกับปีก่อนที่ขาดทุน 160 ล้านบาท โดยมีร้านเดอะพิซซ่าและซิสเลอร์ จำนวน 35 สาขาทั้งลงทุนเองและขายเฟรนไชน์ แต่จากนี้บริษํทจะเน้นขายเฟรนไชน์ โดยจะมีการทบทวนการทำธุรกิจในจีนหลังจากลงทุนไปแล้วครบ 5 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ