ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดร่วงลงกว่า 450 จุดในวันนี้ โดยดัชนีร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์นี้เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มภาคการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐออกแถลงการณ์ว่าจะไม่นำงบประมาณ 7 แสนล้านดอลลาร์มาใช้ซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงิน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดร่วงลง 456.87 จุด หรือ 5.25% แตะระดับ 8,238.64 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์
นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นตั้งแต่ช่วงเปิดทำการซื้อขายเพราะแทบจะหมดความหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูในภาคการเงิน หลังจากนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐประกาศเปลี่ยนแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐมีมติผ่านร่างไปเมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าจะไม่ใช้งบประมาณดังกล่าวเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินที่มีปัญหาหรือหนี้เสียของสถาบันการเงินต่างๆในประเทศ แต่จะมุ่งเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ผู้บริโภค
พอลสันออกแถลงการณ์ว่า สาเหตุที่รัฐบาลสหรัฐจะไม่ใช้เงินจำนวนดังกล่าวเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินที่มีปัญหามูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ของสถาบันการเงินหลายแห่งก็เพราขั้นตอนดังกล่าวต้องใช้เวลาในการดำเนินการมากเกินไป แต่รัฐบาลจะมุ่งเน้นเรื่องการกระตุ้นสินเชื่อบุคคล ส่วนในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังมีปัญหาทางการเงินอย่างหนักและต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือนั้น พอลสัน ระบุว่า รัฐบาลยังไม่มีแผนจะจัดตั้งกองทุนเข้ามาจัดการกับสินทรัพย์ที่มีปัญหาของอุตสาหกรรมรถยนต์ (TARP) เพราะเห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถหาทางออกในการแก้ไขวิกฤติทางการเงินของตัวเองได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีอัดฉีดเงิน
ยูทากะ มิอูระ นักวิเคราะห์จาก Shinko Securities Co. กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นโตเกียวถูกปกคลุมด้วยกระแส ความวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มที่ถดถอยของบริษัทเบสท์ บาย ส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบทั่วทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มหลักทรัพย์ กลุ่มสินแร่เหล็กและเหล็กกล้า ร่วงลงหนักสุด