(เพิ่มเติม1) กพช.ปรับขึ้นราคา LPG ภาคขนส่ง 6 บ./กก.ทยอยปรับใน 3 เดือน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 13, 2008 15:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)อนุมัติปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมอีก 6 บาท/กก.โดยให้ทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดเดือนละ 2 บาท/กก.เป็นเวลา 3 เดือน ขณะที่ตรึงราคาก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้กับภาคครัวเรือนไว้จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ 6 เดือน 6 มาตรการ ในต้นปีหน้า โดยคาดว่าจะนำเงินไปชำระคืนหนี้ให้กับ บมจ.ปตท.(PTT)ได้ครบหมดภายในเดือน พ.ย.53

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า หลังจากนี้ กพช.จะนำข้อสรุปเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)พิจารณาในสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดระยะเวลาที่จะเริ่มต้นปรับขึ้นราคา LPG ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน พ.ย.นี้

สาเหตุที่ปรับขึ้นราคา LPG เฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นก๊าซที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศซึ่งมีต้นทุนอยู่ที่ 17 บาท/กก. ขณะที่ภาคครัวเรือนใช้ก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศมีต้นทุนที่ 11 บาท/กก.จึงจำเป็นต้องปรับขึ้นเพื่อลดภาระการชดเชยของภาครัฐและนำเงินไปใช้คืนหนี้ ปตท.ส่วนจะสามารถชำระได้ครบตามกำหนดในเดือน พ.ย.53 หรือไม่ ขึ้นกับปริมาณการใช้และราคาก๊าซในระยะต่อจากนี้

และเห็นชอบมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน โดยรถแท็กซี่ใหม่จะได้รับการสนับสนุนคิดเป็นมูลค่า 40,000 บาท ขณะที่รถแท็กซี่เก่าจะได้รับการสนับสนุนในมูลค่าเท่ากัน พร้อมทั้งให้กระทรวงพลังงานโดยกองทุนน้ำมันจะรับซื้ออุปกรณ์ LPG เก่าคืนในราคาชุดละ 3,000 บาท

พร้อมกันนี้ ยังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ ภายใน กพช.จำนวน 5 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน, คณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดประเภทและความปลอดภัย, คณะกรรมการติดตามตรวจสอบปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน, คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาใช้เป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์

รมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม กพช.ยังมีมติเห็นชอบให้เสนอเอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งให้มีการสนับสนุนการประกอบรถยนต์ FLEX FUEL VEHICLE(FFV)โดยการนำเข้าในปี 51-52 จำนวน 2 พันคัน ซึ่งจะลดหย่อนอากรนำเข้าจาก 80% เหลือ 60% และให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนเงินเพื่อลดหย่อนภาษีสรรพสามิตจากที่เก็บ 25% เหลือ 22% เพราะเชื่อว่าจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ประมาณ 3.86 แสนล้านบาท/ปี และเป็นการช่วยต่อยอดมูลค่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมได้ประมาณ 6.06 หมื่นล้านบาท

ที่ประชุมฯ ยังมีมติให้ปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ในส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล บี 2 ให้กลับมาอยู่ที่ 75 สต./ลิตร จาก 50 สต./ลิตร เพื่อเพิ่มส่วนต่างราคาระหว่างบี 2 และ บี 5 ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ประชาชนหันไปใช้บี 5 โดยการปรับเงินครั้งนี้จะทำให้กองทุนส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงานมีรายรับมากขึ้นอีก 483 ล้านบาท/เดือน จากเดิม 131 ล้านบาท/เดือน เพิ่มเป็น 614 ล้านบาท/เดือน หรือประมาณ 7,368 ล้านบาท/ปี และทำให้ส่วนต่างราคาบี 2 และ บี 5 เพิ่มเป็น 1.50 บาท/ลิตร รวมทั้งช่วยเพิ่มความต้องการซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันด้วย

ส่วนน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 ที่จะต้องเพิ่มขึ้นอีก 20 สต./ลิตร ให้ชะลอออกไปจนกว่ากองทุนน้ำมันฯ ได้รับสะสมไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉิน และเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันฯได้เพียงพอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ