บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์(SITHAI)คาดรายได้ปี 52 ยังโตได้ 10% เพราะตลาดยังมีความต้องการสูงมาก เป็นผลจากการออกสินค้าใหม่และมีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่ม โดยผลักดันขยายตลาดส่งออกเป็น 100 ประเทศในต้นไตรมาส 1/52 จากปัจจุบันที่มี 94 ประเทศ รวมทั้งมีรายได้จากธุรกิจขายตรงเข้ามาเสริม และในปีหน้าบริษัทยังมีงบลงทุนต่อเนื่องอีก 400 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้ยังเป็นไปตามเป้า 5,050 ล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ SITHAI เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปีหน้าบริษัทจะรับรู้รายได้จากออร์เดอร์ขนาดใหญ่ของห้างอีเกียของสวีเดนเข้ามาเต็มที่ 500 ล้านบาท โดยขณะนี้ได้เริ่มทยอยส่งมอบแล้ว และคาดว่าจะมีออร์เดอร์เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และปีถัดไป
ขณะเดียวกัน ก็คาดว่าจะมีรายได้จากสินค้าตัวใหม่ ประเภทบรรจุภัณฑ์ ถ้วย กล่องเก็บอาหารใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง รวมทั้งขวด PET บรรจุน้ำ ฝาปิดขวดน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ประมาณเดือนม.ค.52 น่าจะทำรายได้ราว 200 ล้านบาท/ปี ส่วนพวกถ้วยและกล่องอาหารแบบบาง เริ่มผลิตได้ประมาณ 2 เดือนมาแล้ว จะรับรู้รายได้เพิ่มเข้ามาเดือนละ 2 ล้านกว่าบาท
บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจขายตรงอาหารเสริม เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ค.51 แต่อาจจะยังไม่มากนัก แต่ก็จะมีส่วนช่วยผลักดันให้รายได้ในปี 52 เติบโตได้ถึง 10% ตามเป้าหมาย และเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นดีเช่นเดียวกับธุรกิจเทรดดิ้ง เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก
อนึ่ง สัดส่วนยอดขายหลักยังเป็นพลาสติกประมาณ 64% และเมลามีน 36% ตัวที่เพิ่มเข้ามาเป็นเทรดดิ้ง
นายสนั่น กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุนราว 400 ล้านบาท สำหรับเครื่องจักร แม่พิมพ์ ฝาจุกต่างๆ บางส่วนลงทุนไปบ้างแล้วในปีนี้ และจะนำเข้าเครื่องจักร-แม่พิมพ์เข้ามาในปีหน้า ซึ่งโดยปกติบริษัทเตรียมเงินสดเพื่อการดำเนินงานปีละไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะหนี้สินต่อทุน(D/E)ของ SITHAI อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.4 เท่าต้น ๆ เท่านั้น หากต้องการเงินลงทุนก็สามารถขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้สบายมาก
*ปี 51 ยอดขายยังได้ตามเป้า แต่ยอมรับบริหารงานยาก
นายสนั่น คาดว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5,050 ล้านบาท โดยยอดขายในไตรมาส 4/51 ก็ยังทำได้ในเกณฑ์ดี จากความต้องการสินค้าของตลาดยังมีอยู่สูงมาก ขณะที่บริษัทเองก็มีการออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับการขยายลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพราะนอกจากสวีเดนแล้ว บริษัทยังขยายตลาดไปในอาฟริกา ยุโรปตะวันออก และญี่ปุ่น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เมลามีนที่มีสัดส่วนการขายในต่างประเทศ 40% ตลาดในประเทศ 60% ขณะที่ผลิตภัณฑ์พลาสติกส่งออกไม่ถึง 10%
แต่ในปีนี้ถือว่าฝ่ายบริหารมีความยากลำบากในการบริหารต้นทุนอุตสาหกรรมพลาสติก โดยเฉพาะในช่วงระหว่างไตรมาส 2-3/51 เพราะราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาแรงมากและพลิกกลับมาร่วงแรงแบบสุดๆ ซึ่งมีผลต่อราคาเม็ดพลาสติกที่ราคาแกว่งตัวอย่างผันผวนรุนแรงเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 52 สถานการณ์น่าจะดีขึ้น โดยคาดว่าราคาวัตถุดิบต่าง ๆ น่าจะมีเสถียรภาพขึ้น โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกที่มีสัดส่วนเป็นต้นทุนกว่า 70% ของต้นทุนรวมทั้งหมด
"ตอนนี้เป็นขาลงในอนาคตก็น่าจะส่งผลดีต่อบริษัท แต่เข้าใจว่าคงจะลงแบบสุดๆ ในไม่ช้านี้เพราะอิงเกี่ยวกับตัวน้ำมันโดยเราสต็อกประมาณ 10 กว่าวัน ไม่เจ็บตัวในเรื่องวัตถุดิบ และเม็ดพลาสติกขาลงก็น่าจะเป็นผลดีต่อเราในไม่ช้านี้" นายสนั่น กล่าว
*จับมือพันธมิตรเกาหลีขยายตลาด Lock&Lock ประเทศเพื่อนบ้าน
นายสนั่น กล่าวว่า ล่าสุด SITHAI จับมือกับ HANA COM BI ผู้ผลิตสินค้า Lock&Lock จากเกาหลีจัดตั้งธุรกิจร่วมทุนเพื่อรุกตลาดกล่องเก็บอาหารยี่ห้อซุปเปอร์แวร์ Lock&Lock หลังจากเป็นตัวแทนขายเป็นเวลา 3 ปี เนื่องจากบริษัทเห็นยอดขายสูงขึ้น และพันธมิตรเองก็เห็นศักยภาพของ SITHAI
ต่อจากนี้ผลิตภัณฑ์ Lock&Lock จะไม่มองเฉพาะตลาดประเทศไทย แต่จะขยายไปในตลาดประเทศใกล้เคียงด้วย ซึ่งการที่บริษัท HANA COM BI มาลงทุนในจีนและเวียดนาม ก็จะทำให้บริษัทสามารถนำเข้าจากแหล่งผลิตใหหม่ แทนการนำเข้ากจาเกาหลีที่ต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึง 30% เพราะการนำเข้าจากจีนเสียภาษี 10% เวียดนาม 5% ก็จะทำให้ต้นทุนต่ำลง น่าจะช่วยให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และยอดขายน่าจะเติบโตได้ดีกว่าเดิม น
อีกส่วนหนึ่งทาง Lock&Lock เกาหลีมีส่งออกประมาณ 93 ประเทศ และ SITHAI ประมาณ 94 ประเทศ ถ้าบางประเทศไม่ตรงกันก็จะแลกเปลี่ยน ลูกค้าที่จะแนะนำด้วยกันก็จะขยายตลาดได้เร็วขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย
*ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน แต่ส่วนตัวเล็งซื้อเพิ่มเช้าพอร์ต
นายสนั่น กล่าวว่า บริษัทไม่มีความสนใจที่จะซื้อหุ้นคืน เพราะต้องการถือสภาพคล่องไว้ใช้ในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
แต่โดยส่วนตัวได้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามา และในอนาคตก็ไม่แน่อาจจะซื้อเพิ่มอีก โดยจะซื้อผ่านกระดานซื้อขายปกติ เพราะส่วนใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติต้องการขายให้เร็ว เพราะความจำเป็นที่ต้องส่งเงินกลับไปช่วยบริษัทแม่ที่ขาดทุนจากปัญหาซับไพร์ม ซึ่งปัจจุบัน ส่วนตัวถือหุ้นในสัดส่วน 16% กว่า "เมื่อปลายเดือนที่แล้วส่วนตัวซื้อไป 7 ล้านหุ้น โดยซื้อจากฝรั่งที่ถืออยู่มานานมาก แล้วเค้าบอกว่าเสียหายจากซับไพร์มเยอะมาก ต้องการจะลดจำนวนหุ้นออกไปครึ่งหนึ่งโดยถือ 10 กว่าล้านหุ้นก็มาขายให้ผม 7 ล้านหุ้นในราคาตลาด ผมเองก็ต้องซื้อ เพราะทางบริษัทเองไม่สนใจที่จะซื้อหุ้นคืน เพราะตอนนี้ทางบริษัทต้องการที่จะเก็บ cash flow มากกว่า" นายสนั่น กล่าว