โบรกฯแนะ"ทยอยซื้อ-เก็งกำไร"หุ้น CK ลุ้นงานใหม่สายสีม่วง-เขื่อนในลาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 18, 2008 11:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์มองต่างกันที่แนะ"ซื้อ"หรือ"ทยอยสะสม"เพราะเห็นแนวโน้มโอกาสที่ของ บมจ.ช.การช่าง(CK)มีลุ้นได้งานใหม่และเป็นงานใหญ่ เช่น งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง, โครงการเขื่อนน้ำบาก 1-2 และ เขื่อนไซยบุรี ในประเทสลาว แต่ที่เห็นว่ายังไม่ควรลงทุน หรือแค่เข้ามาเก็งกำไร เพราะยังเสี่ยงในการรับงานใหม่หลังไตรมาส 3 เลื่อนเซ็นสัญญางานใหม่ทำให้งานในมือ(Backlog)ต่ำกว่าคู่แข่ง คาดทำให้รายได้ปี 52 ชะลอตัว แต่มาร์จิ้นจะดีกว่าปีนี้จากราคาเหล็กที่ปรับลดลง

ขณะที่ราคาในตลาดขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (book value)ที่ 3.50 บาท โดยราคาปิดวานนี้(17 พ.ย.)อยู่ที่ 2.48 บาท ซึ่งราคาลงไปต่ำสุดที่ 2.46 บาท

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.บีฟิท             ทยอยซื้อ                4.22
          บล.โกลเบล็ก         ซื้อ                    4.14
          บล.กิมเอ็ง           ถือ                    3.92
          บล.กรุงศรีอยุธยา      เก็งกำไร               3.75
          บล.แอ็คคินซัน         เก็งกำไร                -
          บล.ดีบีเอสฯ          เต็มมูลค่า               2.10

นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการของ CK ในไตรมาส 3/51 ที่ประกาศออกมาถือว่าใช้ได้ มีกำไรสุทธิ 216 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่มาจากรายการพิเศษที่มาจากกำไรจากการโอนกลับสำรองเผื่อผลขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าบีบีซีดี จำนวน 408 ล้านบาท

แต่ผลประกอบการของธุรกิจหลักก็ยังขาดทุนอยู่ จะเห็นได้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นหรือมาร์จิ้นในไตรมาส 3/51 ปรับลงไปมาก มาอยู่ที่ 3.9% จากไตรมาส 2/51 มีมาร์จิ้นที่ 10.3% มาจากมีต้นทุนสูงจากสต็อกวัสดุก่อสร้างที่มีราคาเดิมค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ งานก่อสร้างที่จะเซ็นสัญญาในไตรมาส 3/51 ก็เลื่อนออกไปทั้ง 3 โครงการ มูลค่ารวม 6.9 พันล้านบาท ได้แก่ ทางลอดจรัลสนิทวงศ์ 900 ล้านบาท โรงไฟฟ้าเอสพีพี 4.8 พันล้านบาท และงานก่อสร้างส่วนขยายโรงงานผลิตน้ำประปาของบมจ.น้ำประปาไทย(TTW)ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจำนวน 1.2 พันล้านบาท แต่เท่าที่ได้คุยกับผู้บริหารงานของน้ำประปาไทยจะเซ็นได้ในสัปดาห์นี้ ที่เหลือเลื่อนออกไปคงเป็นปีหน้า

ทั้งนี้ ปี 51 จะมีกำไรสุทธิ ซึ่งคาดการณ์ไว้ 313 ล้านบาท จากการทำรายการพิเศษต่างๆ เช่น กำไรจากการขายหุ้น TTW เป็นต้น แต่การดำเนินงานธุรกิจหลักยังขาดทุน และในปี 52 มองว่ารายได้จะลดลง เพราะปีนี้มีงานใหม่เข้ามาน้อย โดยปี 51 คาดว่าจะมีรายได้ 12,775 ล้านบาท และปี 52 รายได้ก็จะชะลอตัว มีงานรับรู้รายได้น้อย คาดว่าจะอยุ่ที่ 12,885 ล้านบาท แต่คาดว่ากำไรขั้นต้นเฉลี่ยจะดีขึ้นเป็น 11.5% จากปีนี้อยู่ที่ 9% เนื่องจากราคาต้นทุนก่อสร้างต่ำลง

"จริงๆต้องมีงาน แต่เลื่อนไปปีหน้าเกือบหมด ทำให้รายได้ปีหน้าก็ slow และกำไรจากธุรกิจหลักก็คงเพิ่มไม่มาก มองแล้วแนวโน้มปีหน้าโดยรวมธุรกิจไม่ดี มีความเสี่ยงในเรื่องสภาพเศรษฐกิจ การรับงานใหม่ แต่ราคาหุ้นต่ำกว่า book value ที่ 3.50 บาท ตรงนี้ก็ยังน่าสนใจ ก็แนะนำให้ถือ แต่ถ้าใครไม่มีก็ต้องไม่ต้องซื้อ"นายสุรศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ยอดเงินกู้เพิ่มขึ้นเป็น 1.47 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/51 จาก 1.43 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อน แต่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลงเล็กน้อยเป็น 2.99 เท่าจาก 3.00 เท่าในไตรมาสก่อน จึงมองว่าโครงสร้างการเงินของ CK ยังค่อนข้างเสี่ยง เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูง และส่วนของเงินกู้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 77% ของหนี้สินทั้งหมด

ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊คคินซัน กล่าวว่า CK มีผลประกอบการในไตรมาส 3/51 ไม่ค่อยดี ราคาหุ้นจึงได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยนี้แล้ว อย่างไรก็ดี ก็มองว่าทั้งปี 51 น่าจะมีกำไร มาจากรายการพิเศษและจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้

"ถ้าจะลงุทนให้รอดูจังหวะเก็งกำไรได้ในระยะสั้น รอซื้อเมื่ออ่อนตัว ทางเทคนิตมองแนวรับไว้ที่ 2.40 บาท ส่วนแนวต้านที่ 2.80 บาท แต่ถ้าลงทุนระยะยาวไม่แนะนำ" นายรณกฤต กล่าว

ส่วนงานก่อสร้างรถไฟฟ้า ที่มีข่าวมาเป็นระยะๆ ได้แก่ การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง และ สายสีเขียวนั้น มีส่วนหนุนหุ้นกลุ่มรับเหมาในเชิงจิตวิทยา

บล.โกลเบล็ก ระบุว่าประเด็นสำคัญที่น่าลงทุน เห็นว่า ผลดำเนินงานปกติของ CK จะพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 52 เนื่องจากการลดลงอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันและราคาเหล็กเส้น รวมไปถึงการทยอยส่งมอบงานโครงการเก่าที่มีมาร์จิ้นต่ำหมดลงไป คาดว่าจะผลักดันให้กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเราคาดกำไรขั้นต้นในปี 52 จะอยู่ที่ระดับ 12.5% เพิ่มขึ้นจาก 12% ในปีนี้ และคาดกำไรปกติปี 52 ประมาณ 390 ล้านบาทพลิกจากขาดทุน 258 ล้านบาทในปีนี้

ส่วน บล.บีฟิท เห็นว่า ประเด็นการลงทุนในช่วงต่อจากนี้จะเป็นเรื่องของงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง และโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการเขื่อนน้ำบาก 1 และ 2 ,เขื่อนไซยบุรี ซึ่งจะศึกษาแล้วเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี จะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ประกอบกับ ผลกระทบของต้นทุนที่สูงขึ้นได้ผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น เราจึงให้น้ำหนักการลงทุนในลักษณะของการ"ซื้อทยอยสะสม"

ในปีนี้การก่อสร้างงานยังน้อย ต้องรอลุ้นโครงการใหม่ๆ โดยนับจากต้นปีที่ผ่านมา CK มีงานเซ็นสัญญาใหม่ค่อนข้างต่ำด้วยมูลค่าเพียง 2.5 พันล้านบาท(เมื่อเทียบกับการับรู้รายได้ที่ 1.0-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี) ส่งผลให้มูลค่างานค้างรับ ณ สิ้นไตรมาส 3/08 ลดลงมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาใหม่ 3 โครงการ คือ ทางลอดจรัลสนิทวงศ์, โรงไฟฟ้า SPP และ ส่วนต่อขยาย TTW มูลค่ารวม 6.9 พันล้านบาท และคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปีนี้ จึงทำให้การเซ็นสัญญางานใหม่ที่น้อยลงจะกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น

และ CK ยังมีลุ้นเปิดซองรถไฟสีม่วง 1 สัญญา ถึงแม้จะล่าช้าไปจากแผนงานเดิมอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเริ่มต้นแผนงานของรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นที่เหลือ ในขณะที่เราประเมินว่ามีโอกาสที่ CK ที่ร่วมทุนกับทางโตคิว คอนสตรัคชั่น จะช่วงชิงงานในสัญญาที่ 1 และ 2 มีอย่างน้อย 1 สัญญา ประกอบกับ การมีโรงหล่อคอนกรีตใกล้กับพื้นที่ก่อสร้างและประสบการณ์จากงานก่อสร้างทางยกระดับที่คล้ายกับโครงสร้างรถไฟฟ้าจะช่วยทำให้ CK ควบคุมต้นทุนงานก่อสร้างได้เปรียบมากกว่าคู่แข่ง



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ