ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ใหม่ TRUE ที่ “BBB/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 19, 2008 08:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,750 ล้านบาทของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ “BBB" ในขณะเดียวกันยังยืนยันผลอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกันเดิมของบริษัทที่ระดับ “BBB" และยืนยันอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันของบริษัท (TRUE112A) ซึ่งค้ำประกันบางส่วนโดย International Finance Corporation (IFC) ที่ระดับ “A" พร้อมแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย รวมถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสื่อสารข้อมูล (Data Communications Business) และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท และคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากฐานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแออันเป็นผลมาจากการมีภาระหนี้จำนวนมาก ตลอดจนผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และการสื่อสารข้อมูล และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคม

ทั้งนี้ อันดับเครดิตไม่ได้สะท้อนถึงแผนการระดมทุนเพิ่มของบริษัทโดยการเสนอขายหุ้นสามัญใหม่แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวน 19,500 ล้านบาทเนื่องจากความไม่แน่นอนของจำนวนเงินที่จะได้รับ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระคืนหุ้นกู้ TRUE112A ก่อนกำหนดเพื่อลดความเสี่ยงบางส่วนจากการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินกู้เดิมอันเนื่องมาจากภาวะที่ไม่แน่นอนของตลาดเงินและตลาดทุนโลก

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโทรคมนาคมเอาไว้ได้และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบได้หากบริษัทมีผลประกอบการที่ถดถอยลงและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดลดลงในภาวะที่การแข่งขันยังคงรุนแรง นอกจากนี้ หากบริษัทตัดสินใจลงทุนในโครงการใหญ่ที่ต้องการเงินลงทุนสูงก็อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้นำในการให้บริการด้านโทรคมนาคมแบบครบวงจรของประเทศ ธุรกิจหลักของบริษัททั้ง 3 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่ม TrueOnline ซึ่งเป็นธุรกิจโครงข่ายสายสัญญาณ (Wireline) กลุ่ม True Move ซึ่งเป็นธุรกิจไร้สาย (Wireless) หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกลุ่ม TrueVisions ซึ่งเป็นธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 38% 44% และ 18% ตามลำดับ สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นผลมาจากความเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครและตลาดบรอดแบนด์ (Broadband) หรือการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 50% และมากกว่า 80% ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุดซึ่งให้บริการผ่าน บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 23% ของจำนวนผู้ใช้บริการ ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยผู้ประกอบการต่างส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ที่มีอัตราค่าบริการต่ำและน่าสนใจกว่า การแข่งขันดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้และอัตราการทำกำไรที่น้อยลง รายได้ของบริษัทในส่วนของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานนั้นมีแนวโน้มลดลงเหมือนกับในประเทศอื่นๆ อันเนื่องมาจากการมีสินค้าทดแทนคือโทรศัพท์เคลื่อนที่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ดีในธุรกิจสื่อสารข้อมูลน่าจะช่วยชดเชยรายได้ในส่วนโทรศัพท์พื้นฐานที่ลดลงได้

บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเปลี่ยนการจ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge -- AC) มาเป็นการจ่ายค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge -- IC) ในเดือนพฤศจิกายน 2549 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 บริษัทมีรายได้ 46,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเป็นผลมาจากการเติบโตของ TrueVisions และ TrueOnline อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงเล็กน้อยเนื่องจากค่าเชื่อมต่อโครงข่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งสิ้น 81,066 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนยังอยู่ในระดับสูงที่ 89.9% อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 อยู่ที่ 11.9% (ไม่ได้ปรับเต็มปี) เปรียบเทียบกับ 15.5% ในปี 2550 ณ เดือนกันยายน 2551 อัตราส่วนหนี้ต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 3.68 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราส่วนที่กำหนดไว้ไม่ให้เกินกว่าในสัญญาเงินกู้ที่ 4.0 เท่า แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 4.0 เท่าในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งเห็นว่าฐานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อไปอีกในอนาคตจากความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินเพื่อชำระหนี้เดิมเนื่องจากมีกระแสเงินสดที่ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้และการลงทุน

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้ TRUE097A TRUE107A TRUE117A TRUE127A และหุ้นกู้ชุดใหม่ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นแต่เพียงประการเดียว แต่อันดับเครดิตหุ้นกู้ TRUE112A ของบริษัทมีแรงสนับสนุนจากการค้ำประกันวงเงินกู้บางส่วนจำนวน 50% ของเงินต้นจาก IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของ World Bank Group โดย IFC ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA" จาก Standard & Poor’s และระดับ “Aaa" จาก Moody’s Investors Service


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ