นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ปรับปรุงเกณฑ์ราคาสูงสุด (Ceiling) และราคาต่ำสุด (Floor) สำหรับหลักทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 0.10 บาท ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 1 บาท (0.99 บาท) ใหม่ โดยกำหนดราคา Ceiling และ Floor จากเดิม 100% เป็นไม่เกิน 30% ของราคาปิดวันก่อนหน้าเช่นเดียวกับหลักทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป สำหรับหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 0.10 บาท ยังคงให้มีราคา Ceiling และ Floor ตามเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 100% ของราคาปิดวันก่อน
นอกจากนี้ ได้กำหนดให้หลักทรัพย์และหน่วยลงทุนที่เข้าซื้อขายวันแรกมีราคาสูงสุดไม่เกิน 3 เท่าของราคา เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และมีราคา Floor ไม่ต่ำกว่า 0.5 เท่าของราคา IPO มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เพื่อลดความผันผวนของราคา รวมทั้งลดความเสี่ยงของการจับคู่ซื้อขายที่ราคาแตกต่างจากราคาที่ควรจะเป็นมาก
โดยเกณฑ์ที่ปรับใหม่จะทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแคบลงจากเดิม ตัวอย่างเช่น หุ้นมีราคาปิด 0.50 บาท ปัจจุบันมีช่วงราคาที่สามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ระหว่าง 0.01 - 1 บาท หรือ 100% หากเป็นเกณฑ์ใหม่ซึ่งกำหนดไว้ที่ 30% ราคาจะเคลื่อนไหวได้ในช่วงระหว่าง 0.35 - 0.65 บาท เป็นต้น
สำหรับการเพิ่มเกณฑ์ Ceiling และ Floor หลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือหน่วยลงทุนที่เข้าซื้อขาย วันแรกบนกระดานหลักและกระดานต่างประเทศได้กำหนดให้มีราคา Ceiling ไม่เกิน 3 เท่าของราคา IPO และมีราคา Floor ไม่ต่ำกว่า 0.5 เท่าของราคา IPO จากเดิมที่ไม่ได้กำหนดช่วงราคา Ceiling และ Floor ไว้ ตัวอย่างเช่น หุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนใหม่มีราคา IPO 3 บาท ผู้ลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อขายได้ในราคาระหว่าง 1.50 - 9 บาท เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาการส่งคำสั่งที่มีราคาไม่เหมาะสมสำหรับหลักทรัพย์ที่ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก (Newly Listed Securities) ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาหลักทรัพย์มีความผันผวนสูงกว่าสภาพความเป็นจริงมาก
สำหรับระบบคัดกรองคำสั่งซื้อขายสำหรับหุ้นที่เข้าซื้อขายเป็นวันแรกในช่วงเวลาก่อนเปิดซื้อขายภาคเช้า (Pre-open I) ภาคบ่าย (Pre-open II) และก่อนปิดตลาด (Pre-close) นั้น ยังคงไว้เช่นเดิม โดยระบบจะไม่รับ (Reject) คำสั่งซื้อขายที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาที่คาดว่าจะเป็นราคาเปิดหรือราคาปิด (Projected Opening or Projected Closing prices) ของแต่ละหลักทรัพย์เกิน 50% โดยอัตโนมัติ