โบรกฯ มองราคาหุ้น BGH ยังน่าลงทุน แม้คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจในระดับโลกอาจกระทบกับคนไข้ต่างชาติบ้างไม่มากนัก แต่สัดส่วนลูกค้าหลักยังเป็นคนไข้ชาวไทย ขณะที่กลยุทธสำคัญการตรึงและลดค่ารักษาพยาบาล และการกระจายโรงพยาบาลในเครือครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศช่วยหนุนให้วอลุ่มคนไข้เข้ามาเพิ่มขึ้น ส่วนแผนขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตด้วยตัวเองได้ ยังช่วยชดเชยผลกระทบจากประเทศที่ได้รับผลกระทบได้
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท)
บล.เอเซีย พลัส ซื้อ 26.60
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ทยอยสะสม 35.00
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 35.00
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื่อ 40.00
บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 30.50
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยหลัทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)ราคาลงมาค่อนข้างมากแล้ว ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/51 ก็ไม่ได้ออกมาแย่เหมือน บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)มองว่าราคาตรงนี้ก็น่าสนใจ ปีหน้าก็ยังน่าจะไปได้ดี จึงยังแนะนำ"ซื้อ"
"ธุรกืจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่โอเค เพียงแต่คนที่มีลูกค้าต่างประเทศช่วงนี้ก็จะกระทบมากหน่อย แต่ของ BGH จะกระทบน้อยกว่า BH"นางภรณี กล่าว
นักวืเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยังแนะนำ"ซื้อ"หุ้น BGH ในแง่ปัจจัยพื้นฐาน เพราะมองว่าการใช้กลยุทธตรึงค่ารักษาพยาบาลและลดค่ารักษาฯ ตลอดจนถึงปีหน้า น่าจะเป็นส่วนที่ช่วยหนุนให้วอลุ่มคนไข้ยังคงเติบโตได้ในปีหน้า แม้ว่า ธุรกิจโรงพยาบาลก็อาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอบ้าง แต่หากดูสัดส่วนคนไข้ในไทยก็ยังมีจำนวนมาก ส่วนคนไข้ต่างชาติจะได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้น มอง BGH ยังคงน่าจะโตได้อยู่
"long term ซื้อได้ แต่ในระยะสั้นเนื่องจากตลาดยังมีความกังวลอยู่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนไข้ต่างชาติกระทบเป็นเรื่องของ sentiment ที่จะมากดดันราคาหุ้นระยะสั้นอาจจะต้องชะลอการลงทุน แนะนำเป็นทยอยสะสมมากกว่า ในระยะยาวซื้อได้" นักวืเคราะห์ กล่าว
นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"โดยมองว่า BGH มีผลกระทบบ้างจากคนไข้ต่างประเทศ แต่สัดส่วนลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าในประเทศมากกว่าอยู่ และ BGH มีโรงพยาบาล 19 แห่งในเครือ ครอบคลุมได้ทั่วประเทศ รวมทั้งมีนโยบายที่จะพยายามหาตลาดใหม่ๆ โดยเพาะในต่างประเทศ ก็อาจมีบางประเทศที่ตลาดยังน่าจะเติบโตได้เอง เช่น จีน กาต้าร์
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ประเมิน BGH จะได้รับผลบวกจากการเติบโตอุตสาหกรรมโรงพยาบาล โดยคาดอัตราการเข้าพักรักษาตัวของผู้ป่วยปัจจุบันที่อยู่ระดับ 62% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปี 2551-2553 เติบโต 18%
นอกจากนี้ ลักษณะธุรกิจโรงพยาบาลที่สร้างกระแสเงินสดในระดับสูง ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องสูงเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ"
บล.เกียรตินาคืน เห็นว่า ผลประกอบการปีนี้ของ BGH ผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 2Q/51 ขณะเดียวกันผลประกอบการ 9M/51 คิดเป็น 79% ของประมาณการปี 51 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,774 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.46 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 43% yoy
การเติบโตของผลประกอบการปี 51 ประกอบกับฐานะการเงินที่ดีขึ้น จึงประมาณการเงินปันผลปี 51 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คิดเป็น Dividend yield 3% (จ่ายปีละครั้ง)
สำหรับแนวโน้มปี 52 คาดเติบโต 11% yoy เป็น 1,970 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.62 บาท/หุ้น จากการเน้นขยายฐานผู้ใช้บริการในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากผู้ใช้บริการต่างชาติและความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง ทำให้ BGH ได้ประโยชน์ในแง่การประหยัด ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 52 เท่ากับ 30.50 บาท (DCF WACC 10%)