นางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA) เร่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าเฮ้าส์แบรนด์รักษาอัตรากำไรขั้นต้น พร้อมมุ่งหน้าขยายตลาดต่างประเทศ ทดแทนยอดขายจากสหรัฐที่หดตัวหนักจากผลกระทบวิกฤติสหรัฐที่เริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ไตรมาส 4/51 โดยคาดว่าในปี 52 รายได้จะลดลง 5% จากปีนี้ที่ทำรายได้ราว 4.3 พันล้านบาท
"ในปีหน้าทุกอย่างคงจะไม่ดี การที่เราประคองตัวและหันไปสร้างเฮ้าส์แบรนด์ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ดีจะทำให้เราดีได้ในปีหน้าแม้ตลาดสหรัฐจะ drop ลง การที่เราลดความเสี่ยงด้วยการส่งออกหลายประเทศก็น่าจะทำให้เราไม่เจ็บตัว" นางประพีร์ กล่าว
ผู้บริหาร PRANDA กล่าวว่า ตลาดสหรัฐเป็นตลาดส่งออกหลักสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของบริษัท โดยมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 35-36% ของการส่งออกทั้งหมด ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวทำให้ยอดคำสั่งซื้อลดลงอย่างมาก คาดว่าในปีหน้ายอดคำสั่งซื้อของตลาดสหรัฐจะลดลงราว 10% ซึ่งบริษัทจะพยายามหาตลาดอื่นมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน และตะวันออกกลาง
นอกจากนั้น บริษัทยังจะให้ความสำคัญการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)สูงถึง 35-40% เมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตตามคำสั่ง(OEM) ที่มีมาร์จิ้น 30-35% และใน 5 ปีข้างหน้าตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 22%
พร้อมกันนั้น ในปีหน้าบริษัทจะตั้งสัดส่วนงบลงทุนต่อรายได้ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 7-8% โดยเน้นไปที่การลงทุนปรับปรุงลวดลายให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดมากกว่าที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่
นางประพีร์ กล่าวว่า ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ในไตรมาส 4/51 ทำให้รายได้ลดลงราว 10% จากไตรมาส 4/50 ตามยอดออร์เดอร์จากสหรัฐที่ลดลง ขณะที่มาร์จิ้นรวมยังอยู่ในระดับ 30% และจะรักษาระดับนี้ไว้ในปีหน้า
ส่วนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนนั้น มีผลต่อรายได้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออก แม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่บริษัทก็ได้ทำประกันความเสี่ยงไว้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งบริษัทมีการสั่งนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศประมาณ 60% จึงถัวเฉลี่ยกันไปได้และบริษัทก็พยายามปรับราคาขายสินค้าตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอยู่แล้ว
ขณะที่ราคาทองคำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักนั้น คาดว่าในปีหน้าน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ที่ราคาทองแกว่งตัวผันผวนมาก โดยประเมินว่าราคาทองในปีหน้าจะอยู่ในช่วง 600-900 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
นางประพีร์ กล่าวว่า จากผลประกอบการไตรมาส 4/51 ที่ปรับลดลง แต่บริษัทเชื่อว่าจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ เพราะตลอด 7 ปีที่ผ่านมาบริษัทจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องที่สัดส่วน 10% ของกำไรสุทธิ ประกอบกับ บริษัทยังมีโครงสร้างทางการเงินที่ดีทั้งมีเงินกู้ระยะยาว 500 ล้านบาท และกระแสเงินสดสำรองใช้ในการดำเนินงานถึง 400 ล้านบาท
ส่วนแผนการซื้อหุ้นคืนขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณา เพราะอาจทำให้กระทบต่อสภาพคล่องลดลง อีกทั้งผู้ที่ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็หวังเงินปันผลจึงมีการถือหุ้นในระยะยาว