ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 พ.ย.) ซึ่งเป็นการปิดบวกต่อเนื่องจากเมื่อวันจันทร์ หลังจากมีรายงานว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัยและเพิ่มการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายยังคงซบเซาหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่หดตัวลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 36.08 จุด หรือ 0.43% แตะที่ 8,479.47 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.58 จุด หรือ 0.66% แตะที่ 857.39 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 7.29 จุด หรือ 0.50% แตะที่ 1,464.73 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.88 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.50 พันล้านหุ้น
ริชาร์ด คลิปส์ นักวิเคราะห์จาก Stifel Nicolaus เปิดเผยว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงในช่วงเช้า หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 หดตัวลง 0.5% มากกว่าที่คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.3% ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง
แต่ต่อมาภาวะการซื้อขายเริ่มคึกคักขึ้นเมื่อเฟดประกาศใช้มาตรการฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัยและเพิ่มการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภค มูลค่ารวม 8 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแผนการล่าสุดของเฟดครอบคลุมถึงการที่เฟดจะซื้อหนี้และหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนองมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของสินเชื่อเพื่อการจำนอง อีกทั้งอัดฉีดเงินกู้สำหรับนักศึกษา เงินกู้เพื่อซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิต
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของเฟดช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกนปิดบวกเกือบ 8% และหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ หุ้นวอล-มาร์ท สโตร์ส บวก 3.6%
ดานา ซาพอร์ตา นักวิเคราะห์จาก Dresdner Kleinwort ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า "นักลงทุนยังคงหวั่นวิตกเรื่องตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น ราคาหุ้นที่ทรุดตัวลง ราคาบ้านที่ตกต่ำลง และวิกฤตสินเชื่อที่รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังตื่นตระหนกต่อการแสดงความคิดเห็นของบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เตือนว่า ระบบเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ "วงจรที่เลวร้าย" และเผชิญกับตัวเลขคนว่างงานหลายล้านคน นอกเสียจากว่าจะผ่าทางตันด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกอบกู้วิกฤตการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์"
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนขานรับรายงานของสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 44.9 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ระดับ 38.8 จุด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังตอบรับข่าวที่ว่า บารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศตั้งทีมงานด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ โดยให้ทิโมธี ไกธ์เนอร์ ดำรงตำแหน่งรมว.คลัง และแต่งตั้งลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส เป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ อีกทั้งแต่งตั้ง คริสตินา โรห์เมอร์ เป็นประธานสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ และเมโลดี้ บาร์นส เป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการเมืองภายในประเทศ
โอบามาให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะผลักดันให้มีการผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อีกทั้งจะใช้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมถึงการสนับสนุนพลังงานสะอาดและการศึกษา การวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาวโดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และการรับมือกับวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า นอกจากนี้ โอบามามีแผนที่จะให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ที่ประสบภาวะขาดสภาพคล่องและมีแนวโน้มที่จะล้มละลาย โดยระบุว่า "เราไม่อาจปล่อยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ล่มสลายได้ เพราะอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐ"
เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติสังกัดพรรคเดโมแครต รวมถึง นายชาร์ลส์ ชูเมอร์ วุฒิสมาชิกกรุงนิวยอร์ก วางแผนที่จะร่างมาตรการที่มีมูลค่าสูงถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ และจะยื่นแผนการดังกล่าวให้กับโอบามาในวันแรกที่รับตำแหน่งประธานาธิบดี
หุ้นสตาร์บัคส์รร่วงลง 38 เซนต์ ปิดที่ 8.08 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายที่ร้านสตาร์บัคส์อาจร่วงลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำลงทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายสินค้าที่ฟุ่มเฟือย
ขณะที่หุ้นฮิวเลทท์-แพคการ์ด ร่วงลง 2.9% แม้บริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ที่สูงเกินคาดก็ตาม