นักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นดูไบและซาอุดิอาระเบียที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาจะเปลี่ยนทิศทางกลับสู่ช่วงขาลง เนื่องจากราคาน้ำมันและมูลค่าของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงได้บั่นทอนภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกให้อ่อนแอลง
จากความเคลื่อนไหวดัชนี MSCI GCC Countries Index ที่ร่วงลงไปแล้ว 57% ในปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์จาก F&C Asset Management คาดว่าดัชนีอาจดิ่งลงอีก 20% ใน 6 เดือนข้างหน้าพร้อมทั้งกล่าวว่า "เมื่อพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เลวร้าย มูลค่าหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารที่อยู่ในภาวะฟองสบู่ รวมถึงสภาพคล่องของเงินทุนแล้ว ผมขอแนะให้นักลงทุนที่ถือหุ้นในตลาดตะวันออกกลางใช้โอกาสนี้เทขายหุ้นออกมา"
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่กล่าวว่า มูลค่าหุ้นในตลาดอาจร่วงลงอีก จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ล่มสลายและราคาน้ำมันที่ดิ่งลง 66% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์จาก Templeton Asset Management กล่าวว่า ตลาดหุ้นในแอฟริกาใต้และจีนมีความน่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดหุ้นในตะวันออกกลาง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในระหว่างปี 2547-2550 ดัชนี Dubai Financial Market General Index ในตลาดหุ้นดูไบทะยานขึ้น 493% เนื่องจากราคาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไต่ระดับขึ้น 4 เท่า และราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น 195% ได้กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายภาครัฐบาล ขณะที่ตลาดหุ้นอาบูดาบีพุ่งขึ้น 159% ในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนตลาดหุ้นซาอุดิอาระเบียทะยานขึ้น 149% แต่ในปีนี้ ตลาดหุ้นทั้งสามดิ่งลงไปแล้วกว่า 40% โดยมูลค่าการซื้อขายในสัปดาห์นี้ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับรายได้ กระแสเงินสดหมุนเวียน และสินทรัพย์สุทธิ
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในตะวันออกลางจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 5.3% ในปีหน้า จากระดับ 6.1% ในปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจจีนจะโตขึ้นในระดับ 8.5% และเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 6.3%