นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ กรรมการและผู้อำนวยฝ่ายบริหารและการจัดการ บมจ.ไรมอน แลนด์ (RAIMON) เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะปัญหาการเมือง และวิกฤตทางการเงิน ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ได้มีการสั่งให้บริษัทฯ หยุดการลงทุนใหม่ๆ ในปี 52 โดยเฉพาะการลงทุนซื้อที่ดิน เนื่องจากกังวลว่าหากสถานการณ์เลวร้าย หากมีการลงทุนอาจจะกระทบต่อกระแสเงินสด ถึงแม้ว่า ปัจจุบันบริษัทฯ จะได้วงเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ดังกล่าวมาแล้ว 340 ล้านบาท อีกทั้งยังมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศไว้แล้วก็ตาม
นอกจากนี้ หากปัญหาดังกล่าวลากยาว บริษัทฯ ก็อาจจะมีการทบทวนเป้ายอดขายปี 52 ลดลงจากที่วางไว้ 1-1.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการปิดสนามบิน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่เดิมมีแผนเดินทางมาซื้อโครงการไม่สามารถเดินทางมาได้ จากเดิมที่คาดว่าจะขายได้ในช่วงเดือน ธ.ค.51- ก.พ.52 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ประมาณ 1 พันล้านบาท
"ยอมรับว่าตอนนี้เราเริ่มกังวลสิ่งที่เกิดขึ้นที่อาจจะเลวร้ายและลากยาว ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการหารือนกันภายใน วางแผน และปรับกลยุทธ์รองรับไว้ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยระดับบนมากขึ้นเพื่อทดแทนนักลงทุนต่างชาติ และกังวล Backlog ที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถโอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย"นายกิตติ กล่าว
นายกิตติ กล่าวต่อว่า หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยืดเยื้อ อาจจะส่งผลถึงแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่อาจจะเลื่อนไปเป็นปี 52 จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Amalf และ โครงการ The Edge ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 7.5-8 พันล้านบาทไปเป็นปีหน้า จากเดิมที่จะมีบางโครงการเปิดตัวในปลายปีนี้
แต่ในส่วนของโครงการ 185 ราชดำริ ไม่มีความกังวล เพราะขณะนี้มียอดจองเข้ามาแล้ว 85% ทั้งที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน ก.พ.52
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมียอดรับรู้เข้ามาแล้ว 4.8 พันล้านบาท ซึ่งจะไปรับรู้รายได้ในปี 52 จาก Backlog ที่มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนในปีนี้ ยอดรับรู้ที่วางไว้ 2.5 พันล้านบาท ทำได้แน่นอนเพราะ 3 ไตรมาสมียอดรับรู้แล้ว 1.7 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เชื่อว่าในปี 52 จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเฉลี่ยที่ 38-40% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ที่ 37% เพราะต้นทุนค่าก่อสร้างที่ลดลง และโครงการ 185 ราชดำริ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง