ก.ล.ต.สั่ง TSFC เร่งเพิ่มเงินกองทุนไม่น้อยกว่า 279 ลบ.ส่งแผนใน 11 ธ.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 28, 2008 17:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า คณะกรรมการกำกับตลาดทุนสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) เพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด ในจำนวนที่ไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้ส่งรายละเอียดของแผนที่แสดงถึงผู้ที่พร้อมจะลงทุนหรือให้กู้ยืมแบบไม่มีเงื่อนไขตามจำนวนที่กำหนด ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในวันที่ 11 ธ.ค.2551

จากการที่ TSFC ประสบปัญหาด้านฐานะการเงินมีสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการประกอบธุรกิจ และสำนักงาน ก.ล.ต. ได้สั่งการให้ TSFC หารือกับผู้ถือหุ้นเพื่อกำหนดแผนงานการแก้ไขปัญหา โดยให้นำส่งแผนงานดังกล่าวต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 นั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พ.ย.TSFC มีหนังสือแจ้งแผนเพิ่มทุนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าTSFC จะสามารถเพิ่มทุนได้ สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการกำกับตลาดทุนในวันที่ 28 พ.ย.2551 ซึ่งคณะกรรมการกำกับตลาดทุนมีความเห็นว่า เนื่องจากปัจจุบันTSFC มีสินทรัพย์หลังหักภาษีรอการตัดบัญชีน้อยกว่าหนี้สิน รวมทั้งมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัทจะต้องรับรู้ผลขาดทุนดังกล่าวเมื่อปิดงวดการบัญชีสิ้นปีนี้ โดยทำให้คาดว่าประมาณการอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) จะต่ำกว่าอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนดให้ต้องดำรงที่ 8%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ TSFC ยังไม่สามารถเพิ่มเงินกองทุนได้ TSFC จะต้องไม่ขยายธุรกิจและลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงเพิ่มอีก

ทั้งนี้ หาก TSFC จะกู้ยืมเงิน ผู้ที่ให้กู้ยืมจะต้องไม่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันหรือมีบุริมสิทธิเหนือเจ้าหนี้อื่นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้รายเดิม โดย TSFC จะต้องเปิดเผยความเสี่ยงทางกฎหมาย ฐานะการเงินที่ตีมูลค่าเงินลงทุนตามราคาตลาด การดำเนินการตามการสั่งการของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน รวมทั้งความคืบหน้าของแผนการเพิ่มทุน ให้ผู้ที่จะให้กู้ยืมรับทราบก่อนด้วย

สำหรับปัญหาฐานะการเงินของ TSFC นายธีระชัย กล่าวว่า จะกระทบเฉพาะ TSFC โดยจะไม่มีผลกระทบต่อระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ ระบบการส่งมอบหลักทรัพย์และการชำระราคาในตลาดหลักทรัพย์โดยรวม เนื่องจาก TSFC ไม่ได้ประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และไม่ได้เป็นสมาชิกของสำนักหักบัญชี

ส่วนลูกหนี้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (ลูกหนี้มาร์จิ้น) จาก TSFC นั้น ในขณะนี้จะยังไม่มีการเรียกหนี้คืนหรือบังคับให้ต้องขายหุ้นเพื่อชำระหนี้ทันที แต่หากลูกค้าประสงค์จะโอนย้ายไปเป็นลูกหนี้มาร์จิ้นของ บล. อื่นที่ให้บริการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่แล้วก็สามารถทำได้

ในส่วนของกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC นั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเหล่านี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะดำเนินการให้กองทุนเปิดทุกกอง(ที่ไม่ใช่กอง auto redemption) ที่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC แยกการลงทุนในส่วนที่เป็นตั๋วแลกเงินของ TSFC ไว้ต่างหากก่อน โดยไม่นำมารวมคำนวณใน NAV ของกองทุนรวม (set aside)

ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป NAV ที่ใช้ในการกำหนดราคาขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดดังกล่าวจะไม่นำการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC มารวมคำนวณ และเมื่อกองทุนเปิดดังกล่าวนั้นได้รับชำระเงินจริงจึงจะนำเงินนั้นมาจ่ายแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเฉพาะที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันที่ทำการ set aside

“ผมขอย้ำว่าผู้ถือหน่วยลงทุนไม่มีความจำเป็นต้องรีบซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนหรือตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่กองทุนรวมถือตั๋วแลกเงินเหล่านี้ได้ถูกแยกออกจากกองทุนรวมไว้ชั่วคราวแล้ว"นายธีระชัย กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ