นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส(ASP)คาดว่า ในปี 52 บริษัทยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องจากปีนี้ ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจะมีผลขาดทุนจากการลงทุน เนื่องจากภาวะตลาดที่ปรับลดลงและวิกฤติทางการเงิน แต่ก็ยังคาดการณ์ที่ชัดเจนได้ยาก
"ปีหน้ายอมรับว่าประเมินได้ยาก ซึ่งทุกคนคงจะต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ รวมถึงบริษัทด้วย"นายก้องเกียรติ กล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม รายได้หลักในปีหน้ายังมาจากลงทุน รวมถึงค่าคอมมิชชั่นและในปีหน้าอาจจะรายได้เข้ามาเพิ่มในการรับเป็นที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มมีบริษัทขนาดกลางที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องเข้ามาหารือกับบริษัทแล้ว
ในเรื่องของพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะพอร์ตลงทุนในหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมากเหลือ 100 ล้านบาท จากต้นปี 600-700 ล้านบาท จากพอร์ตรวมทั้งหมด 3 พันล้านบาท แต่ถึงแม้พอร์ตลงทุนในหุ้นจะปรับลดลง แต่บริษัทก็ยังจะทยอยเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่ม เพียงแต่รอจังหวะลงทุนหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกกระทบน้อยจากการถดถอยของเศรษฐกิจ เพราะบางบริษัทยังให้ Dividened Yield ที่สูง
"ตอนนี้การทำธุรกิจ คงจะต้องทำแบบอนุรักษ์นิยมและรอดูจังหวะที่เหมาะสมภายใต้วิกฤติก็ยังมีโอกาส เพียงแต่ว่าโอกาสใครจะมองได้ก่อนกัน ซึ่งเราเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ซึ่งก็มีหุ้นหลายตัวที่เป็นหุ้นระยะยายาวของเรา ก็มีการขายเพื่อซื้อตัวอื่น"นายก้องเกียรติ กล่าว
นายก้องเกียรติ ยอมรับว่า มูลค่าพอร์ตลงทุนโดยรวมของบริษัทปรับตัวลดลง 10% แต่ถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับตลาดที่ปรับลดลงกว่า 50% แต่จากปัจจัยต่าง ๆ เชื่อว่าในครึ่งหลังปี 52 สถานการณ์จะกลับมาดีขึ้น โดยที่ผ่านมาการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์(มาร์จิ้นโลน)ปรับลดวงเงินเหลือ 500 ล้านบาทจากเดิม 1 พันล้านบาท ทำให้ความเสี่ยงลดลงมาก ถึงแม้ตอนนี้จะมีลูกค้า 1 รายที่มีปัญหา หรือคิดเป็นวงเงิน 1.5 ล้านบาท แต่บริษัทได้มีการเจรจาและให้ทยอยแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ไปแล้ว
นายก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ยืดเยื้อและการเมืองอาจลากยาวไปถึงปีหน้า อาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศติดลบ เลวร้ายสุด อาจหดตัว 3.7-4.0% แต่ถ้าไม่เลวร้ายมากอาจติดลบเพียง 0.8% เพราะตอนนี้การบริโภคภาคครัวเรือนไม่ขยายตัวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทในตลาดหรือนอกตลาดก็มีโอกาสปิดตัวได้
ส่วนมูลค่าการซื้อขาย ในครึ่งแรกปี 52 คงไม่มาก แต่ครึ่งหลังของปีน่าจะกลับมาดีขึ้นได้บ้าง