บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่(GRAMMY) คาดว่าในปี 52 รายได้และกำไรของบริษัทจะไม่ต่ำกว่าปีนี้ เพราะมองว่าปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะไม่กระทบกับธุรกิจเพลงมากนัก โดยในปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% จากปีก่อนที่กลุ่ม GRAMMY มีรายได้ราว 7.3 พันล้านบาท แต่ในด้านกำไรจะมีการเติบโตในระดับ 2 digit มีโอกาสจะมีกำไรสูงที่สุดในรอบ 25 ปี "แนวโน้มกำไรสุทธิปีหน้าไม่แย่กว่าปีนี้ ณ จุดนี้ยังไม่มีผลกระทบมากนัก เรายังมองโลกไม่แง่ร้ายจนเกินไปนัก"นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส GRAMMY กล่าวว่า
แม้ว่าในปีหน้าภาวะเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงถดถอย แต่เชื่อว่าธุรกิจเพลงจะไม่กระทบมากนีก เพราะคนจะต้องการคลายเครียดมากขึ้น ประกอบกับ ธุรกิจนี้มีความยืดหยุ่น ขณะที่ธุรกิจมีเดียคาดว่าน่าจะทรงตัว หรือ เพิ่มขึ้นได้บ้าง ซึ่งช่องทางการซื้อโฆษณา GRAMMY ทั้งสื่อวิทยุและโทรทัศน์ในมือ ยังมีเข้ามามาก แม้ว่าภาพรวมงบโฆษณาจะลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความไม่แน่นอนและจะส่งผลให้การลงทุนเกิดความไม่แน่นอนด้วย โดยเขายังไม่ระบุว่าจะลงทุนเพิ่มช่องทางโฆษณา
"เราค่อนข้างโชคดีที่เราตกไปในปี 48 ,49 และปรับปรุงตัวเองจนแข็งแรง หลายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรก็เอาออกไป จึงไม่เป็นภาระกับบริษัท วันนี้ธุรกิจที่มีอยู่ก็เป็นตัวดำทั้งหมด การบริหารต้นทุนเราก็ทำอย่างดี...ปีหน้างบรวมยังอยู่ในสถานะดี ความกังวลก็มี แต่ไม่ได้ Panic " นายสุเมธ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 52 กลุ่ม GRAMMY มีรายได้และกำไรเพิ่มจากการควบรวมกิจการบมจ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยการแลกหุ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และคาดเริ่มทำคำเสนอซื้อขายในช่วงครึ่งหลัง ธ.ค. 51 ขั้นตอนจะเสร็จและเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในเดือน ก.พ.52
ขณะที่ปี 51 กำไรสุทธิของบริษัทมั่นใจโตได้ 2 digit จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 502.24 ล้านบาท และหากการเมืองไม่ยืดเยื้อก็คาดหวังว่าในปีนี้จะมีกำไรสุทธิสูงสุดในรอบ 25 ปีอย่างที่ประกาศไว้ จากที่บริษัทเคยทำได้สูงสุดในปี 47 ที่มีกำไรสุทธิ 700.20 ล้านบาท โดยหากการเมืองยังไม่นิ่ง การจัดงานอีเว้นต์และมาร์เก็ตติ้งในเดือนธ.ค.นี้ก็จะชะลอออกไป
ในงวด 9 เดือนบริษัท ประกาศกำไรสุทธิ 456.53 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจเพลง ซึ่งรวมทั้งการออกอัลบั๊มใหม่ ธุรกิจดาวน์โหลด ธุรกิจดิจิตอล รวมสัดส่วนกว่า 50% ของกำไรทั้งหมด ซึ่งต้นทุนไม่สูง รองลงมาเป็นธุรกิจมีเดีย ประมาณ 30% ที่เหลือมาจากธุรกิจอีเว้นท์ และอื่นๆ
ส่วนในด้านรายได้ในปีนี้คาดว่าโต 2-3% จากปีก่อนที่มี 7.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้า และปีหน้าคาดว่าจะไม่น้อยกว่าปี 51 โดยจะมีภาพยนตร์จะมีหนังใหม่ออกฉาย 5 เรื่อง
สำหรับในไตรมาส 4/51 คาดว่า จะมีลูกค้าเข้าดาวน์โหลดเพลงที่ร่วมกับดีแทค ถึงสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 7 แสนรายจากสิ้น ต.ค.51 อยู่ที่ 5.5 แสนราย และมีออกอัลบั๊มใหม่ ประมาณ 11 อัลบั๊ม เช่น แก้ม เดอะสตาร์ , บี้ เดอะสตาร์, กอลฟ์-ไมค์ เป็นต้น รวมทั้ง จัดโชว์บิซ ได้แก่ คอนเสริต์ "แบบเบิร์ดเบิร์ด Encore PLUS", "Cinderella the musical"และ มีหนังใหม่เรื่อง "โปรแกรมหน้า...วิญญาณอาฆาต"