สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลเงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศของบริษัทไทย 6 แห่ง ลงสู่ "เชิงลบ" ดังนี้
-- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
-- บมจ.ปตท.(PTT)
-- บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)
-- บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH)
-- บมจ.ไทยออยล์ (TOP)
-- บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR)
การประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่วานนี้ S&P เพิ่งปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของไทยสู่ "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ"
S&P ระบุว่า การปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็นลบ สะท้อนให้เห็นถึงการคาดการณ์ของ S&P ที่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้ลดทอนความเป็นไปได้ที่การเมืองของไทยจะกลับมามีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนได้ในระยะใกล้ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะกลาง โดยความเคลื่อนไหวเหล่านี้ บวกกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ได้กลายเป็นแรงกดดันในเชิงลบต่อเศรษฐกิจของไทย และอาจส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ กฟผ., PTT และ PTTEP ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ด้วยเหตที่บริษัทมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อนโยบายพลังงานของรัฐบาลไทย ตลอดจนมีบทบาทด้านนโยบายสาธารณะที่สำคัญ และด้วยเหตุที่รัฐบาลมีอิทธิพลอย่างสูงในบริษัทเหล่านี้ ขณะเดียวกัน PTT Chemical, Thaioil และ PTTAR ได้รับการสนับสนุนเชิงกลยุทธ์จาก PTT และมีความเกี่ยวดองกันอย่างมากกับ PTT ดังนั้น อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทกลุ่มนี้จึงมีความอ่อนไหวต่ออันดับความน่าเชื่อถือและแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของบมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงทางธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และความเสี่ยงทางการเงินที่ยังไม่สูงนัก ซึ่งแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานความเสื่อมถอยลงในอันดับความน่าเชื่อถือของไทย และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะกลาง