นายริชาร์ด ฟอน วัลเด็ก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจโบว์ลิ่ง บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) กล่าวว่า ในปีหน้า เมเจอร์โบว์ล ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของเมเจอร์กรุ้ป จะมีการเติบโตของรายได้ที่ 10% หรืออยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท จากปี 51 ที่คาดว่ายังรักษาเป้าหมายการเติบโตที่ 10-15% จาก 556 ล้านบาทในปี 50 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่จะโต 15-20% เนื่องจากมีความกังวลจากปัญหารการเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง
นอกจากนี้จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สาขาเมเจอร์โบว์ลที่หัวหินและสมุย ซึ่งมีฐานรายได้มาจากลูกค้าต่างชาติลดลงทันที 10-15% แต่อย่างไรก็ตาม การลดลงของจำนวนของลูกค้าดังกล่าว คงจะไม่กระทบต่อรายได้โดยรวมของธุรกิจโบว์ลิ่งเพราะเชื่อว่าจะมีรายได้จากสาขาอื่นเข้ามาช่วย โดยเฉพาะสาขาพารากอน
และได้มีการปรับกลยุทธ์ด้วยการเจาะตลาดกลุ่มนักศึกษามากขึ้น เนื่องจากในหัวหินมีกลุ่มนักเรียนนักศึกษาโรงเรียนนานาชาติจำนวนมาก
"ผมเคยคุยกับบอร์ดในการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 15-20% แต่พอมาเกิดปัญหาอย่างนี้ ต่างชาติก็ลดลง คนที่จะมาใช้ก็ต้องคิดเยอะ เพราะฉะนั้นเราต้องใช้กำลังภายในมาก และการกระตุ้นควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการทำแคมเปญและโปรโมชั่นมากขึ้นในปีหน้ามากกว่าที่จะลดราคาค่าใช้บริการ"นายริชาร์ด กล่าว
นายริชาร์ด กล่าวต่อว่า ถึงแม้ปัจจัยที่เกิดขึ้นจะกระทบบ้าง แต่การที่บริษัทมีโบว์ลิ่งที่จะเปิดใหม่ในปีหน้า จำนวน 20 เลนที่ห้างเอสพลานาด สาขารัตนาธิเบศร์ ที่จะเปิดปลายปีนี้ รวมถึงการเปิดเลนโบว์ลิ่งที่ประเทศอินเดีย จำนวน 5 สาขา ในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ แต่ในช่วงต้นปี 52 จะเห็นสาขาแรกก่อนจำนวน 24 เลน ที่นิวเดลี ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น
ทั้งนี้ ค่าบริการที่อินเดียจะแพงกว่าประเทศไทย เพราะเป็นการขายการบริการให้แก่สมาชิก
สำหรับงบลงทุนปี 52 นั้น ได้ของบการลงทุนจาก MAJOR ไว้ที่ประมาณ 50-80 ล้านบาท จะเป็นการปรับปรุง เมเจอร์ฮิต จำนวน 3-4 สาขา และงบในการปรับเปลี่ยนจาก เมเจอร์ฮิตเป็น Bluo 1 สาขาก่อนที่สุขุมวิท หลังจากเพิ่งปรับปรุงสาขาที่รัชโยธินเป็น Bluo ซึ่งมีการเปิดตัวในวันนี้