นายภัทรลาภ ทวีวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ. ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล (LL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรในประเทศอีกรายหนึ่ง เพื่อทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ ลงตัว คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า
"พันธมิตรรายใหม่ที่กำลังคุยเป็นโครงการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วิกฤตเหล่านี้น้อย เป็นกึ่ง Residential มี Unique และจุดขายแตกต่างออกไป ซึ่งขณะนี้มีทำเลแล้ว"นายภัทรลาภ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ส่วนโครงการ Medical Center หรือ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีฟังก์ชั่นทางด้านแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการรายละเอียดเรื่องโครงสร้างการร่วมทุน โครงสร้างการเงิน ระหว่าง LL กับนักลงทุนอีกฝั่งหนึ่ง
*เล็งปรับแผนปี 52 อีกระลอก รักษาระดับรายได้ให้ใกล้เคียงปีนี้
นายภัทรลาภ กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 52 ว่า จะพยายามรักษารายได้ให้ใกล้เคียงกับปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท เติบโตเกือบ 100% จากปี 50 ที่มีรายได้รวมประมาณ 869 ล้านบาท โดยในงวด 9 เดือน LL มีรายได้แล้ว 1.2 พันล้านบาท
"จากปีที่แล้วมาปีนี้เราโตเกือบ 100% ปีหน้าจะโต Double จากปีนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นก็คงรักษาให้อยู่เท่าๆ เดิมให้มากที่สุด"นายภัทรลาภ กล่าว
สำหรับแผนงานปี 52 นั้น บริษัทเตรียมจะปรับแผนงานอีกระลอกหลังจากที่เคยได้ปรับแผนงานมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนเกิด Crisis ของโลก หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แต่พอมาเกิดวิกฤตทางการเมืองซ้ำอีก เราจำเป็นต้องรอให้สถานการณ์นิ่งกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาว่าผลกระทบต่อประเทศไทยมากมายขนาดไหน แล้วเราควรจะปรับแผนการทำงานอีกหรือไม่
"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ทั้ง Crisis โลก และสถานการณ์ทางการเมือง บอกตามตรงว่าเราประเมินไม่ถูก ต้องให้เรื่องในประเทศหยุดนิ่งก่อน อย่างน้อยให้การใช้สนามบินคืนสู่ Operation เราถึงจะประเมินผลได้อีกทีว่าทุกอย่างถูกกระแทกแรงแค่ไหน และต้องปรับแผนการทำงานอีกหรือไม่"นายภัทรลาภ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 52 ยังมีอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับแผนเล็กน้อย เช่น เดิมที่คาดว่าจะเปิดโครงการใหญ่ 3 โครงการ อาจจะต้องลดขนาดโครงการให้เล็กลงแต่เปิดจำนวนโครงการได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องงบลงทุนซื้อที่ดินนั้น ก็จะยังมีเช่นกัน เพียงแต่งบลงทุนอาจจะน้อยกว่าปีนี้ซึ่งใช้ไปพอสมควร
"ถ้าขึ้นโครงการใหม่ ก็ต้องมีโครงการซื้อที่ดินอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะซื้อไซส์ไหน Location ไหนก่อน พอดีบริษัทไม่ตุนที่ดินไว้เยอะ ซื้อที่ดินมาก็พัฒนาโครงการเลย"นายภัทรลาภ กล่าว
นายภัทรลาภ กล่าวว่า ในภาวะแบบนี้ บริษัทอยากจะเก็บเงินสดเอาไว้ทำประโยชน์อย่างอื่นด้วย
ปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ประมาณ 1.8-1.9 เท่า ลดลงจากเมื่อตอนก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อตอนต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ที่ D/E อยู่ที่ระดับ 2 กว่า
*คาดปี 52 เหนื่อยกว่าเดิม เหตุกำลังหด-การแข่งขันสูง
นายภัทรลาภ กล่าวถึงกำลังซื้อในปี 52 ว่า เชื่อว่าจะเกิดการชะลอตัว 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ในแง่คนจะลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยหรือเปล่า คือต่อให้มีเงินแต่ก็อาจจะชะลอการซื้อลงบ้าง ส่วนที่สองคือในส่วนของสินเชื่อรายย่อย ซึ่งสถาบันการเงินจะปล่อยให้ผู้ซื้อคงตึงพอสมควร
ด้านราคาสินค้าไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก เพราะราคาเดิมไม่ได้สูงโด่งมากนัก เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ได้เอื้ออำนวยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ในส่วนของ LL ได้มีการปรับขนาดโครงการ และฟังก์ชั่นให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เช่น แบบบ้านรุ่นใหม่ที่โครงการรังสิต เริ่มปรับวัสดุก่อสร้างเพื่อทำราคาให้ออกมารองรับตลาดให้ได้ นอกจากนี้ในโครงการเดียวกัน ยังได้มีการเพิ่มสินค้ารูปแบบใหม่เพื่อรองรับความต้องการของตลาด
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของ LL จะแตกต่างจากปีนี้พอสมควร เพราะเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยปี 52 จะมีการแข่งขันกันสูงกว่าปีนี้ทั้งในแง่ของรูปแบบ ราคา ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เพราะตลาดหดตัวลง แถมสถาบันการเงินเคร่งครัดสินเชื่อมากขึ้น
นายภัทรลาภ กล่าวว่า LL มองการแข่งขันไว้หลายด้านที่จะชูให้ลูกค้าเห็น แต่ก็ยังเน้นโครงการแนวราบต่อไป เนื่องจากมองว่าโครงการประเภทคอนโดฯ หากขึ้นโครงการต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการก่อสร้าง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ความต้องการของลูกค้าอาจจะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเราคงเน้นแนวราบเป็นหลัก เพราะปรับตัวได้ง่ายกว่า และหมุนรอบไวกว่า เพราะสร้างเสร็จเร็วกว่าโครงการ
"เราไม่มีแผนทำคอนโดฯใหม่ ถ้าจำ Crisis ตอนปี 40 ได้ คอนโดฯ ที่เหลือจากปี 40 ส่วนใหญ่จะเป็นห้องใหญ่ 100-200 ตร.ม. พอหมด Crisis ความต้องการตลาดเปลี่ยนเป็นไซส์เล็ก 30, 40, 50..70 ตร.ม. อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะมองสินค้าที่ Turn Over และปรับตามความต้องการของลูกค้าได้ง่ายกว่า"นายภัทรลาภ กล่าว