นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมกาผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN)เปิดเผยว่า บริษัทได้ชะลอการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศทั้งในประเทศจีนและอินโดนีเซีย โดยจะขอประเมินสถานการณ์ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี แม้ปัจจุบันราคาก่อสร้างจะปรับลดลงตามวัสดุก่อสร้าง แต่เนื่องจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง และวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้บริษัทต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งยอดใช้จ่ายของลูกค้าโดยรวมลดลง 10-15% แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลรุนแรงต่อรายได้รวมของบริษัทในปีนี้ เพราะบริษัทได้ปรับกลยุทธ์หันมาเจาะลูกค้าคนไทยมากขึ้นมาชดเชยในส่วนลูกค้าต่างประเทศ โดยการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย
ขณะเดียวกัน ยอดใช้จ่ายในห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวยังเติบโตได้ดี เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนไทย
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยการเมืองน่าจะคลี่คลายได้ในปีหน้า แต่วิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศยังได้รับผลกระทบรุนแรง คาดจะรับผลกระทบมากในไตรมาส 1-2 ในปี 52
นายกอบชัย กล่าวว่า การปรับกลยุทธ์เจาะลูกค้าคนไทยมากขึ้น ทำให้คาดว่าปี 52 บริษัทจะมียอดขายเติบโตราว 20% อีกทั้งจะมีรายได้เต็มปี จากการเปิดห้างใหม่ที่แจ้งวัฒนะที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา และในปีหน้าเปิดห้างใหม่ที่พัทยาและชลบุรี
"ปัญหาการเมืองจะคลายตัวได้หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินออกมาแล้ว ซึ่งพันธมิตรก็คงพอใจเช่นกันและคงจะสลายตัว ซึ่งตอนนี้ถือว่าตอนนี้การเมืองมีคำตอบมาสู่การพัฒนาที่ดีขึ้น ถ้าถามผม ในส่วนนักธุรกิจก็อยากให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เลือกโยนลูกบอลให้ประชาชนตัดสินใจเองดีกว่า ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ นักธุรกิจเราเลิกพึ่งพารัฐบาลไปนานแล้ว เราพึ่งตัวเอง และจะพึ่งตัวเองต่อไปในปีหน้า"
อย่างไรก็ดี ปัญหาการเมืองในครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าเมื่อพกฤษาทมิฬ ในปี 35 เพียงแต่ระยะเวลาการชุมนุมยาวนานเลยกลายเป็นความน่าเบื่อ