ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 270 จุดขานรับข่าวดีจาก"ฟอร์ด,จีอี"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 3, 2008 06:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (2 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวในด้านบวกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ ข่าวที่ว่าฟอร์ด มอเตอร์ ยืนยันว่าบริษัทมีเงินสดมากพอที่จะดำเนินธุรกิจได้ตลอดปีพ.ศ.2552 และเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ยืนยันที่จะจ่ายเงินปันผลต่อไปแม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอก็ตาม

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 270.00 จุด หรือ 3.31% ปิดที่ 8,419.09 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 32.60 จุด หรือ 3.99% แตะที่ 848.81 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 51.73 จุด หรือ 3.70% แตะที่ 1,449.80 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.62 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.14 พันล้านหุ้น

อเล็กซานเดอร์ แพริส นักวิเคราะห์ด้านหลักทรัพย์จาก Barrington Research ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า "นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคับคั่งเพราะเชื่อมั่นว่าสถานการณ์การเงินในภาคเอกชนจะยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่านายอลัน มูลัลลี ซีอีโอฟอร์ด มอเตอร์ ยืนยันว่า บริษัทมีกระแสเงินสดหมุนเวียนมากพอที่จะดำเนินธุรกิจได้ตลอดปี 2552 แม้บริษัทคู่แข่งอย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) จำเป็นต้องขอกู้เงินจากรัฐบาล 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้"

"ขณะเดียวกันตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับข่าวที่ว่าบริษัท จีอี ยืนยันว่าสามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อไปแม้ผลประกอบการไตรมาส 4 มีแนวโน้มชะลอตัวลงและเศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการณ์ขาลงก็ตาม ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังว่าบริษัทในสหรัฐจะสามารถปรับตัวกับภาวะถดถอยได้ดีกว่าที่มีการประเมินไว้ในเบื้องต้น" แพริสกล่าว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่มมาตรการฉุกเฉินเพื่อให้ความช่วยเหลือและสร้างเสถียรภาพในภาคการเงิน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นแข็งแกร่ง หลังจากที่หุ้นกลุ่มการเงินถูกแรงขายกระหน่ำลงอย่างหนักในช่วงหลายวันก่อน

ShopperTrak RCT Corp บริษัทวิจัยซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายสินค้าในร้านค้าปลีกของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น 1.9% ในวันที่ 28-29 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลา 2 วัน หลังสิ้นสุดช่วงวันหยุดในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า โดยบรรดาผู้ค้าปลีกได้กระหน่ำลดราคาสินค้าลงกว่า 70% หลังจากผ่านพ้นเทศกาลขอบคุณพระเจ้าไปแล้ว ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่กำลังรัดเข็มขัดจากอัตราว่างงานที่สูงขึ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซานับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยหลังจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจของสหรัฐออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว และหลังจาก ABC NEWS เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 1 ธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ -54 จุด เมื่อเทียบกับระดับ -52 จุดในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 พ.ย.

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัวลงอย่างหนัก หลังจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NBER) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีพ.ศ.2550 และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญช่วงขาลงไปจนถึงกลางปีพ.ศ.2552 ซึ่งนับเป็นภาวะถดถอยที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในช่วงปีพ.ศ.2524-2525

ทั้งนี้ หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 5.9% หุ้นจีเอ็มดีดขึ้น 5.7% ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นแม้มีรายงานว่าโกลด์ แมนแซคส์ อาจขาดทุนราว 2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 โดยหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ดีดขึ้น 11.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 9.2% แต่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 76 เซนต์ ปิดที่ 65.00 ดอลลาร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ