โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ช.การช่าง(CK)มองแนวโน้มธุรกิจรับเหมาของบริษัทยังโตต่อเนื่อง โดยจะได้งานใหม่ในไตรมาส 4/51 จำนวน 7.2 พันล้านบาท และในเดือนธ.ค.คาดรู้ผลประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมทั้งยังมีงานสร้างโรงงานพลังน้ำจากเขื่อนไซยะบุรี และ เขื่อนน้ำบาก 1-2 ในลาว ที่มีมูลค่างานสูง โดยคาดว่าจะได้เซ็นสัญญาก่อสร้งได้เร็วๆนี้ไม่เกิน 2 ปี ก็ยิ่งเพิ่มความแข้งแกร่งงานในมือให้บริษัท ที่ปัจจุบันมีอยู่ 1.47 หมื่นล้านบาท
แต่บางรายให้"ถือ"ไว้ก่อน เพราะมองว่าธุรกิจรับเหมาปีหน้ามีความไม่แน่นอน งานใหม่งานน้อย จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว แม้ว่าราคาหุ้นขณะนี้จะต่ำก็ตาม ราคาปิดเที่ยงวันนี้ที่ 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+4.85%) ฟื้นขึ้นมาจากเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ราคาลงไปต่ำสุดที่ 1.96 บาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 4.80 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 4.40 บล.กิมเอ็งฯ ถือ 3.92 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 3.80 บล.บีฟิท ซื้อ 3.54
นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า แม้ว่าจะมีได้งานในไตรมาส 4/51 จำนวน 7.2 พันล้านบาท ถือเป็นระยะสั้น แต่แนวโน้มปีหน้างานรับเหมายังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว จึงมองว่าแนวโน้มที่จะได้รับงานต่อเนื่องอาจจะชะลอตามไปด้วย ยังประเมินได้ยาก ส่วนงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในลาว ก็ต้องใช้เวลา 2 ปีกว่าจะก่อสร้างได้
ทั้งนี้ ในงวด 9 เดือนปี 51 CK มีงานใหม่เข้ามาเพียง 2.68 พันล้านบาท เมื่อรวมกับงานใหม่ในไตรมาส 4/51 เท่ากับปี 51 CK จะมีงานใหม่เข้ามาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ในปี 52 คาดว่ารายได้บริษัทจะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปีนี้ที่คาดว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมาจากงานในมือ(backlog)ที่เข้ามาในไตรมาส 4/51
"ถ้าปีหน้างานใหม่เข้ามาน้อยก็จะทำให้ปีต่อๆ ไปมีความเสี่ยง รายได้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ทำให้ในอนาคตบริษัทยังไม่แน่นอน ถึงแม้ระยะสั้นจะดี แต่ระยะยาวยังไม่แน่นอน ดูราคาหุ้นตอนนี้ก็ถือว่าต่ำ แต่ก็ไม่แนะให้ลงทุน ที่มีอยู่ก็ให้ถือต่อไปรอจนเศรษฐกิจฟื้นตัว ถือยาวเลย แต่ไม่แนะนำให้ซื้อเพราะปีหน้าแนวโน้มยังมีความไม่แน่นอน"นายสุรศักดิ์ กล่าว
CK กำลังรอเซ็นสัญญางานใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/51 ได้แก่ โครงการทางลอดที่จรัญสนิทวงศ์ มูลค่า 900 ล้านบาท, โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำประปาไทย มูลค่า 1.3 พันล้านบาท และโรงไฟฟ้า SPP มูลค่า 5.0 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้งานในมือของ CK เพิ่มจาก 1.47 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/51 เป็น 2.19 หมื่นล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า เท่าที่ดูแนวโน้มปีหน้า CK น่าจะยังดีอยู่ และจะมีงานใหม่ 7.2 พันล้านบาทเข้ามาในไตรมาส 4/51 เริ่มรับรู้ได้ในกลางปี 52 แต่ส่วนใหญ่เป็นงานในกลุ่ม CK
รวมทั้งงานสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในลาว มูลค่าลงทุน 9.7 หมื่นล้านบาท ได้คุยกับผู้บริหารแล้วว่า อาจจะเริ่มก่อสร้างได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ 2 ปี (ปี 53) หรืออาจจะเป็นปีหน้า ถ้างานใหม่เร่งเข้ามาก็ทำให้ backlog ของบริษัทแข็งขึ้น และทำให้แนวโน้มผลประกอบการดีขึ้น รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นก็จะปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดซองเทคนิคแล้ว บริษัทคาดว่าคงจะยังประมูลได้ในปลายเดือน ธ.ค.นี้ และคาดหวังจะได้อย่างน้อย 1 สัญญา(มูลค่าสัญญา 1 และ 2 อยู่ที่ 13,414 ล้านบาท และ 12,602 ล้านบาทตามลำดับ)
ส่วนบล.เกียรตินาคิน ระบุว่า คาดหวังในอนาคต CK จะได้งานจากโครงการเขื่อนน้ำบาก 1-2 มูลค่าโครงการ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) มีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา สัดส่วนโครงการ 70% เป็นของ CK และ 30% เป็นของ SEAN
ส่วนโครงการเขื่อนไซยะบุรี ขณะนี้สรุปผลการศึกษาแล้วและมีความเป็นไปได้ในการลงทุน ภายใต้สัญญาที่ได้ลงนามในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีระยะเวลาในการศึกษาและจัดทำรายละเอียดของโครงการเป็นระยะเวลา 2 ปี จากนั้นจึงจะลงนามในสัญญาสัมปทาน สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีระยะเวลาการก่อสร้างและดำเนินการ 7-8 ปี นับจากศึกษารายละเอียดของโครงการ
ขณะนี้ CK อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ร่วมลงทุน ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วน 10-30% บริษัทเป็นผุ้ดูแลการก่อสร้าง (มูลค่าการก่อสร้าง คิดเป็น 70% ของ มูลค่าโครงการหรือประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท)คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปลายปี 52 โดยคิดมูลค่าโครงการในการรับรู้รายได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อปี
รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่บริษัทยื่นไป 3 สัญญา คาดว่าจะทราบชื่อผู้รับเหมาที่ได้รับงานของสัญญาที่ 1 และ 2 ภายในเดือน ธ.ค.51
บริษัทมีงาน Backlog ในมือปัจจุบัน 14,714 ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 1-2 ปี งานหลักยังคงมาจากโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 งานศูนย์การศึกษา และงาน Energy Complex