ทิสโก้มองตลาดหุ้นไทยใกล้จุดต่ำสุด เตรียมช้อนหุ้นก่อนศก.ฟื้นราว Q3/52

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 3, 2008 18:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ วิเคราะห์ ถึงสภาวะตลาดหุ้นไทยดัชนีเข้าสู่จุดต่ำสุดที่ระดับ 330-350 จุด ซึ่งถือว่าเข้าสู่จุดต่ำสุด ไม่น่าจะต่ำมากกว่านี้ แต่ทั้งนี้ยังต้องประเมินสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหนต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 52 แต่ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะติดลบ 0.9% จากภาคการส่งออกที่ชะลอตัวและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและยิ่งเกิดการปิดสนามบินสุวรรณภูมิยิ่งส่งซ้ำเติมการท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย

"การที่ตลาดหุ้นไทยสู่จุดต่ำสุดก็ถือว่าแป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจอาจเริ่มฟื้นตัวเพราะโดยปกติตลาดหุ้นจะรับข่าวก่อน 6 เดือน ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/52 และเศรษฐกิจอาจเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3/52 หรืออย่างช้าในปลายปี 2552 จึงเป็นโอกาสดีในการลงทุน"นายไพบูลย์ กล่าว

และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1% ซึ่งถือว่าเหนือกว่าการคาดหมายจึงถือว่า ธปท.จริงจังในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเป็นทางออกที่ถูกต้องเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวและการลดดอกเบี้ยเป็นการลดภาระเงินกู้ให้กับผู้มีภาระเงินกู้ และคาดว่าในระยะ 3-6 เดือนจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก 1% หรือมาอยู่ที่ 1.75%

อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัญหาการเมืองจะคลี่คลายแต่ยังคงต้องรอลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในวันที่ 8-9 ธ.ค. จะออกมาอย่างไร โดยในภาคเอกชนและบริษัทจดทะเบียนต่างต้องการเสถียรภาพของรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายได้ โดยปี 52 รัฐบาลควรเร่งใช้นโยบายด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีการผลักดันให้เกิดเมกกะโปรเจ็กท์ได้จริงอาจจะช่วยได้บ้าง

ส่วนนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงกการลดดอกเบี้ยของธปท. ไม่สามารถกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ได้ แม้ว่าจะเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้นเ เนื่องจากกังวลว่าการลดดอกเบี้ยถึง 1% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยกว่าที่คาดไว้ตลาดหุ้นจึงไม่ตอบรับมากนัก ทั้งนี้มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยลดลงอีก 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามปี 52 ตลาดหุ้นไทย ยังน่าสนใจในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศน่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย อาทิหุ้นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม และกลุ่มไฟฟ้า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบยังเป็นกลุ่มท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์

*ทิสโก้ ให้น้ำหนัก PTTEP-BANPU-BCP

ด้านนายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์อาวุโส บล.ทิสโก้ กล่าวถึง หุ้นกลุ่มพลังงานเว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 52 จะอยู่สูงกว่า 60 เหรียญ/บาเรล ซึ่งต่ำกว่าปี 51 ที่ราคาอยู่ประมาณ 90 เหรียญ/บาเรล และระดับราคาที่ 60 เหรียญ/บาเรล แม้ว่าสูงกว่าราคาปัจจุบันที่ระดับ 40-50 เหรียญ/บาเรล แต่เชื่อว่าจะอยู่ระดับนี้ได้ไม่นานเนื่องจากผู้ผลิตมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นและไม่สามารถอยู่ได้หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับนี้ผู้ผลิตน้ำมันจึงจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อผลักดันให้ราคาน้ำมันสูงตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัว

ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังถือเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจเนื่องจากมองว่าก๊าซธรรมชาติจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของประเทศในช่วง 10 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันคิดเป็น 41% ของการใช้พลังงานทั้งหมดและมีสัดส่วน 66% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงความต้องการใช้ไฟฟ้ายังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหุ้นที่เกี่ยวกับก๊าซยังน่าสนใจ โดยให้น้ำหนักหุ้น PTTEP

สำหรับธุรกิจถ่านหิน ราคาถ่านหินยังคงปรับตัวตามราคาน้ำมันแต่ความต้องการใช้ยังมีเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรงไฟฟ้าในภูมิภาคที่ยังมีความต้องการสูง โดยหุ้นน่าสนใจให้ BANPU ซึ่งผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย จีนและประเทศไทยที่มีการลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการลงทุนเพิ่มใน และบริษัทฯยังมีนโยบายขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องด้วย อีกทั้งมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทำให้ผลกระทบในตลาดมีน้อย

นอกจากนี้ให้น้ำหนักหุ้น BCP ที่จะได้รับประโยชน์จากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโครงการ PQI ที่จะส่งผลให้ได้ปริมาณน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นและค่าการกลั่นมีแนวโน้มดีขึ้นด้วย



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ