บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) คาดยอดออร์เดอร์ในปี 52 ลดลงแน่นอน แต่ขอรอประเมินภาพชัดเจนเดือนเม.ย.52 เพราะปัจจุบันบริษัทมีออร์เดอร์ถึงมี.ค.52 ขณะที่ช่วงนี้ยังมีการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป และรอยอดออร์เดอร์จากค่ายฮอนด้าที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ ส่วนปีนี้มั่นใจทำรายได้ตามเป้า แม้ครึ่งปีหลังชะลอแต่ครึ่งปีแรกทำไว้ดี
"กำลังดูยอดออร์เดอร์ของลูกค้าอยู่เพื่อมาปรับว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ปีหน้ายังประเมินยากเพราะเราเริ่มเม.ย.52 ช้ากว่าคนอื่น คงต้องดูท่าทีของบรรดาค่ายรถยนต์ แต่ก็คิดว่าจะลดลง แต่เท่าที่โตโยต้าออกมาว่าชะลอคงเป็นไปตามนั้นเพราะ STANLY ต้องอิงกับลูกค้ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์"น.ส.รัตนาภรณ์ บุญวงศ์ นักลงทุนสัมพันธ์ STANLY กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มในปีหน้ายังไม่มีความชัดเจนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คงต้องรอให้ลูกค้าประเมินยอดขายของตัวเองก่อนในช่วงต้นปี อีกทั้งขณะนี้ยังมีงานมอเตอร์เอ็กซ์โปที่จะมียอดจองซื้อรถใหม่เข้ามาอีก
"ถ้าเป็นออเดอร์เดิมก็ยังคงเดิมเพราะค่ายรถยนต์จะผลิตตามออเดอร์ที่มีการสั่งจองแล้ว ยอดจึงยังคงที่อยู่ แต่ยอดตั้งแต่หลังงานมอเตอร์เอ็กซโปไปก็ต้องหาแคมเปญกันใหม่ ทำการตลาดกันใหม่ โดยดูทิศทางการเมืองเศรษฐกิจเป็นหลัก"น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว
น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า ค่ายฮอนด้าซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ STANLY ยังไม่ส่งสัญญาณออร์เดอร์ของปีหน้าว่าจะมีเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือมีการลดการผลิตหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับรถยนต์ทุกรุ่นของฮอนด้า
"ปีหน้าเท่าที่ทราบฮอนด้ายังไม่มีสัญญาณเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะฮอนด้าไม่ได้ไปสหรัฐฯ หรือไปก็คิดว่าน้อย แต่จะไปเล่นทางพวกโซนตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ บราซิล ซึ่งไม้ค่อยกระทบ แต่ปีหน้าก็ไม่แน่ใจว่าจะโดนหรือเปล่า คงจะโดนกันหมดทุกคนแต่จะโดนมากหรือน้อย แต่ของเราต้องอิงฮอนด้ามากหน่อยประมาณ 50%" น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว
ส่วนผลกระทบจากวิกฤติของค่ายบิ๊ก 3 ในสหรัฐ ไม่ได้เกิดขึ้นกับบริษัทโดยตรง แต่บริษัทส่งสินค้าให้กับอีซูซุ ซึ่งมี GM ถือหุ้นอยู่ โดยมียอดขายราวว 7% ถือว่าไม่มาก เป็นชิ้นส่วนสำหรับรถปิคอัพรุ่นดีแม็กซ์ แต่เป็นไฟธรรมดา ขณะนี้ออเดอร์ยังปกติอยู่ ซึ่งเราจะผลิตตาม capacity
ขณะที่ค่ายโตโยต้าตอนนี้ออเดอร์ประมาณ 10% มีโตโยต้าวีออส และไฟท้ายของฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งรอดูออเดอร์ เพราะตลาดรถปิคอัพอาจได้รับผลกระทบก่อนรถประเภทอื่น แม้ว่าจะมียอดออร์เดอร์ส่วนนี้ไม่มาก แต่ในที่สุดก็คงถูกผลกระทบไปทุกส่วน ซึ่งเราก็ต้องปรับกลยุทธ์โดยการพยายามรักษาต้นทุนไว้ ควบคุมค่าใช้จ่าย ในเรื่องของการลงทุนบางส่วนก็คงต้องมาพิจารณาอีกที บางส่วนเป็นการปรับปรุงดูก่อนดีหรือไม่
*ผลประกอบการปี 51 ยังได้ตามเป้า แม้ H2 ทรงตัว แต่ H1 ทำไว้ดี
น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในงวดปี 51 (เม.ย.51-มี.ค.52) คาดว่า รายได้รวมจะยังเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะโดยปกติแต่ละปีจะตั้งเป้ายอดขายโต 5% แต่ถ้าดูตามงบฯตอนนี้เกือบ 10% แล้ว โดยงวด 6 เดือนแรกได้เกือบ 10% ครึ่งปีหลังก็ยังน่าจะทรงตัวเพราะเป็นออเดอร์เดิม
"ปี 51 ตอนแรกก็ตั้งเป้าว่าจะโต 5% แต่ตอนนี้ได้ 10% ไปแล้ว หรือยอดขายในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,453 ล้านบาทแล้ว ส่วนครึ่งปีหลังปกติก็จะเป็น high season แต่ปีนี้ก็ไม่เสมอไปขึ้นอยู่กับโมเดลใหม่ที่ออกมา หรือบางโมเดลขายดีขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่เราจะค่อนข้าง stable ยอดขายไตรมาสละ 2,000 กว่าล้านบาท เพราะเราเป็นลักษณะ made to order"
ปกติไตรมาส 3-4 ของทุกปีจะเป็นช่วง high season จากผลของงานมอเตอร์เอ็กซโปช่วงปลายปี และการออกโมเดลใหม่ ๆ จะช่วยกระตุ้นยอดขายก็จะได้ดี ในปีนี้ฮอนด้าก็ออกโมเดลซีวิค ไมเนอร์เชนจ์ แต่พอมีเรื่องเศรษฐกิจและหลายๆ เรื่องคงต้องรอดูว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หากประสบความสำเร็จก็อาจจะช่วยได้อีกเล็กน้อยจากที่ประมาณไว้
คาดผลประกอบการไตรมาส 3/51 (ต.ค.-ธ.ค.51) กำไรยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะส่วนหนึ่งยอดขายยังเติบโตอยู่ อีกส่วนหนึ่งก็ต้องพยายามรักษาต้นทุน ต้องพยายามเซฟคอร์สไว้ ก็อาจจะลำบากนิดหนึ่ง ส่วนไตรมาส 4/51 ต้องรอดูไตรมาส 3 ก่อน แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามออเดอร์ก็น่าจะเหมือนกับ 2 ไตรมาสที่ผ่านมา
อนึ่ง กำไรสุทธิไตรมาส 2/51(ก.ค.-ก.ย.51) ที่ 409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
*ตั้งงบลงทุนปี 52 ใกล้เคียงปีนี้ ชะลอโรงงานใหม่ รออีโคคาร์ชัดเจน
สำหรับปีหน้า STANLY ตั้งงบลงทุนไว้ 800 ล้านบาท จากปกติบริษัทจะมีงบลงทุนปีละ 800-1,000 ล้านบาท โดยในปี 50-51 ตั้งงบลงทุนปีละ 1,000 กว่าล้านบาท จากการขยายโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับออเดอร์สำหรับโครงการอีโคคาร์ แต่ตอนนี้โรงงานแห่งใหม่คงชะลอไว้ก่อน ตอนนี้จะใช้วิธีปรับปรุงโรงงานเก่า Innovate ไปก่อน
น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีเพียงค่ายฮอนด้าที่มีความชัดเจนของโครงการอีโคคาร์ แต่กว่าออร์เดอร์จะเข้ามาในปี 53 เมื่อถึงเวลานั้นค่อยมาดูเรื่องโรงงานใหม่อีกครั้ง หรือประมาณกลางปีหรือปลายปี 52 ที่จะได้เห็นโมเดลรถอีโคคาร์ออกมา
ส่วนธุรกิจโคมไฟในปี 52 คาดว่าจะผลิตเท่าเดิม โดยกำลังการผลิตทั้งหมดของโคมไฟรวมทุกโรงงานตอนนี้อยู่ที่ 45 ล้านชิ้นต่อปี ภายใต้ 3 โปรดักส์ คือ หลอดไฟ โคมไฟ และแม่พิมพ์ แต่ก็อาจจะมีลดลงไปบ้าง ซึ่งตอนนี้รอ confirm จากลูกค้าอีกครั้ง
*ยังลังเลซื้อหุ้นคืน
น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวถึงโครงการซื้อหุ้นคืนว่า อยู่ระหว่างพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะต้องเอาเงินสดเข้ามาซื้อหุ้น ขณะที่บริษัทเองมีการลงทุนอยู่เรื่อยๆ และยังต้องกันไว้สำหรับการจ่ายปันผล เนื่องจากเรามีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ และที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 31-33% แต่หากปีหน้าถ้าจะชะลอการลงทุนก็อาจจะมาคิดเรื่องปันผลด้วยอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง