ธุรกิจบลจ.ปีหน้าเน้นลงทุนระมัดระวัง เน้นกองทุนตราสารหนี้ความเสี่ยงต่ำ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 4, 2008 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธุรกิจบลจ.ปีหน้าเน้นลงทุนอย่างระมัดระวัง เน้นกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ อาทิ กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หลีกเลี่ยงหุ้นกู้เอกชนรวมถึง FIF เนื่องจากเสี่ยงทั้งจากเศรษฐกิจถดถอยและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้า (52) ถือว่าเป็นปีที่จะต้องปรับตัวของธุรกิจ บลจ.เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอและถดถอยของตลาดหุ้นทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงมากขึ้น

ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นถือเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำ และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่ปีหน้าน่าจะมีความเสี่ยงเนื่องจากมีการจัดอันดับเรตติ้งลดลงตามมูลค่าหุ้นและปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบลจ.ยังจะมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในปี 52 คือเน้นกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและกองทุนอสังหาริมทรัพย์

ส่วนการเพิ่มทุนของกองทุน CPNRF คงต้องเลื่อนไปเป็นปี 52 เนื่องจากปัจจัยตลาดในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยและต่างชาติก็ประสบภาวะทางการเงินแม้ว่าจะมีความต้องการซื้ออยู่ในตลาด แต่เจ้าของสินทรัพย์อาจจะไม่ได้ราคาดีตามที่ต้องการ สินทรัพย์มีมูลค่าลดลงตามปัจจัยพื้นฐานซึ่งต้องมีการตีมูลค่าใหม่ ไม่แน่ใจว่าเจ้าของสินทรัพย์จะยอมรับได้หรือเปล่า "ทางบลจ.ทหารไทยจะเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวัง และไม่ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนรวมถึง FIF ก็จะหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจถดถอยและปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูงทำให้มีโอกาสขาดทุนจากค่าเงิน แต่เราก็จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล"

สำหรับแผนการควบรวมบลจ.ทหารไทยกับบลจ.ไอเอ็นจี ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายจากผู้ถือหุ้นใหญ่รวมทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีแนวคิดที่จะขาย บลจ.ใดออกไปหากบลจ.ยังคงเป็นธุรกิจหลักธนาคารซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ต้องการถือไว้เพื่อสร้างรายได้ให้กับธนาคาร

ดร.ศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในปี 52 เชื่อว่ากองทุนตราสารหนี้ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนและเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าเงินฝากซึ่งจากการที่เศรษฐกิจไม่ดีและภาวะถดถอยทั่วโลก บลจ.ส่วนใหญ่จะหันมาลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ

แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทเอกชนเร่งระดมเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องโดยการออกหุ้นกู้ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ โดยหุ้นกู้ที่น่าลงทุนเป็นกลุ่มของค้าปลีก อุปโภค บริโภค แต่หากบริษัทจดทะเบียนที่มีเครดิตดีก็ถือว่ายังมีความเสี่ยงต่ำ

สำหรับปีหน้าเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องอาศัยการกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐ โดยสนับสนุนให้มีการลงทุนเมกะโปรเจกค์จะสร้างสภาพคล่องในประเทศ ปัจจุบันทุกประเทศก็เร่งสร้างการเติบโตในประเทศซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพราะราคาน้ำมันก็ปรับตัวลดลง ราคาวัตถุดิบก็ปรับตัวลดลงด้วยและปีหน้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะเหลือแค่ 1% หรือมีโอกาสติดลบ เนื่องจากเราได้รับผลกระทบจากการส่งออกและการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ก็ยังกังวลถึงรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ซึ่งเห็นว่าต้องการนายกฯที่ขับเคลื่อนประเทศได้จริงควบคุมครม.ได้ และมีความน่าเชื่อถือ แต่มองว่าการเมืองไทยไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมๆ

ส่วนภาวะตลาดหุ้นถือว่าปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 700 จุด และมาทดสอบที่ระดับ 380 จุด หลายๆ ครั้งก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าถึงจุดต่ำสุดหรือยัง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะสิ้นสุดปัญหาในช่วงไตรมาส 2/52 ซึ่งประเทศไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาในช่วงครึ่งหลังปี 52 ซึ่งจะเห็นอย่างชัดเจน และอาจจะกระทบต่อประเทศเกิดใหม่อื่นๆเช่น ฟิลิปปินส์ บราซิล ไต้หวัน ว่ามีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากก็คงจะมีปัญหายืดเยื้อแต่หากนักลงทุนมีเงินลงทุนระยะยาวก็ถือว่าราคาหุ้นปัจจุบันถูกมาก ปันผลก็สูงจึงเป็นโอกาสดีในการลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ