ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 215.45 จุด เหตุนลท.วิตกรายงานตัวเลขจ้างงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 5, 2008 07:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นนิวยอร์กซึ่งเดินหน้าคึกคักสองวันติดต่อกัน ไม่สามารถรักษาช่วงขาขึ้นเอาไว้ได้เป็นวันที่สาม โดยดัชนีดาวโจนส์กลับมาปิดดิ่งลงเมื่อคืนนี้ (4 ธ.ค.) อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย นักลงทุนพากันเทขายเนื่องจากวิตกตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 215.45 จุด หรือ 2.51% ปิดที่ 8,376.24 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดทรุดลง 25.52 จุด หรือ 2.93% แตะที่ 845.22 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 46.82 จุด หรือ 3.14% แตะที่ 1,445.56 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.47 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.3 พันล้านหุ้นเมื่อวันพุธ และมีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1

นักลงทุนวิตกกังวลว่า รายงานตัวเลขจ้างงานจะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในตลาดแรงงานเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ในปีนี้ บรรดานายจ้างได้ปรับลดพนักงานไปแล้ว 1.2 ล้านตำแหน่งจนถึงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราว่างงานยืนอยู่ที่ 6.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี และนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขคนตกงานเพิ่มขึ้นเป็น 6.8% ในเดือนพ.ย. และบริษัทต่างๆจะลดพนักงานลงอีก 320,000 ตำแหน่ง

อลัน สคราอินก้า หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดจาก Edward Jones ในเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เหตุที่ตลาดปิดในแดนลบวันนี้มาจากปัจจัยเรื่องการจ้างงานล้วนๆ ซึ่งแนวโน้มในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก

ขณะที่ เจฟฟ์ ไคลน์ท็อป หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดจาก LPL Financial Services กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันหลายรายปักใจเชื่อว่า รายงานวันศุกร์จะเผยให้เห็นตัวเลขจ้างงานที่ลดลง 400,000 คน และถ้าตัวเลขสูงกว่านี้ เราอาจได้เห็นตลาดหุ้นดิ่งลงอีก เนื่องจากตลาดจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้สภาพเศรษฐกิจ

โดยวานนี้ กระทรวงแรงงานได้เปิดเผยว่า การขอรับสวัสดิการคนว่างงานครั้งแรกลดลงเหนือความคาดหมายในสัปดาห์ก่อน แต่โดยรวมแล้วจำนวนผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น และสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 4.09 ล้านคน ด้านกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานที่ปรับตัวลง 5.1% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. ปี 2000 ที่ดิ่งลง 8.5%

ในวันพฤหัสบดี ยังได้มีการเปิดเผยยอดขายของบรรดาร้านค้าปลีกประจำเดือนพ.ย.ด้วย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น เมซี่ส์ อิงค์, ทาร์เกต คอร์ป, คอสโก โฮลเซลส์ คอร์ป และ โคห์ลส คอร์ป ยกเว้น วอลมาร์ท- สโตร์ส อิงค์ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่สุดของโลก ที่รายงานยอดขายเพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย 3.4%

นอกจากนี้ แอนโทนี่ คอนรอย กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายเทรดเดอร์ของ BNY ConvergEx Group กล่าวว่า นักลงทุนยังไม่ด่วนเข้าซื้อ จนกว่าจะทราบผลการชี้แจงแผนกู้เงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรส ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ “บิ๊กทรี" ให้มีความชัดเจนมากกว่านี้ แม้ตลาดคาดว่า เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป, ฟอร์ด มอเตอร์ โค และไครสเลอร์ แอลแอลซี น่าจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงลงทุนกับบริษัทเหล่านี้ขณะที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน

ทั้งนี้ หุ้นจีเอ็ม ร่วง 79 เซนต์ หรือ 16% แตะ $4.11, ฟอร์ด ร่วง 19 เซนต์ หรือ 6.7% แตะ $2.66 ขณะที่ไครสเลอร์ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาด

ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ค้าปลีก ทาร์เกต ลดลง 44 เซนต์ หรือ 6% แตะ $34.04, เมซี่ส์ บวก 44 เซนต์ หรือ 6% ปิดที่ $7.83 และ วอล-มาร์ท บวก 73 เซนต์ แตะ $55.11


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ