ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) นับเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่า มาตรการการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่สุดนับตั้งแต่ยุค 1950 ซึ่งบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศว่าจะนำมาใช้หลังเข้ารับตำแหน่ง จะช่วยจำกัดภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจได้
ดัชนี FTSE 100 ปิดทะยาน 250.69 จุด หรือ 6.2% แตะที่ 4,300.06 จุด
โรเจอร์ โกรไบล นักวิเคราะห์จาก แอลจีที แคปิตอล แมเนจเมนท์ กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า แผนกระตุ้นของโอบามามีอิทธิพลในเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตอนนี้ โดยนักลงทุนเริ่มช้อนซื้อหุ้นเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาด
รัฐบาลทั่วโลกได้แนะนำมาตรการใหม่ๆในปีนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากวิกฤตการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับแต่วิกฤต Great Depression เนื่องจากมูลค่าหุ้นทั่วโลกหดหายไปกว่า 31 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ของโลกต้องปรับลดมูลค่าทางบัญชีลงรวมกันถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่เดินหน้าขึ้นมากกว่า 6% โดยได้รับอานิสงส์จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้น หลังจากโอบามาเปิดเผยว่า เขามีแผนดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี
หุ้นโรยัล ดัทช์ เชลล์ บริษัทน้ำมันรายใหญ่สุดของยุโรป ปิดเพิ่มขึ้น 8.3% และบีพี บวก 6.4% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นจากที่ลดลงหกวันก่อนหน้านี้ เนื่องจากประธานกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) กล่าวว่า ทางกลุ่มการอาจปรับลดการผลิตลงในปริมาณมาก และจากการที่โอบามาประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 2.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 43.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
หุ้นแองโกล อเมริกัน บริษัทเหมืองรายใหญ่อันดับสี่ของโลก พุ่งขึ้น 16% หลังจากที่ราคาทองแดงทะยานขึ้นในการซื้อขายที่ลอนดอน ซึ่งเป็นการยุติช่วงขาลงที่ยาวนานมาเจ็ดวัน