STEC คาดปี 52 ได้งานใหม่ราว 8 พันลบ.รวมสายสีม่วง 1 สัญญาดัน backlog

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 11, 2008 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)คาดปี 52 ได้รับงานใหม่ประมาณ 8 พันล้านบาท ใกล้เคียงปี 51 โดยสิ้นปีนี้จะมีงานในมือ(backlog)จำนวน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำมาก เหตุงานใหม่ชะลอตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจหนำซ้ำการเมืองไม่มีเสถียรภาพส่งผลให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน โดยบริษัทหันเข้าหากลุ่มปิโตรเคมีหลังโรงไฟฟ้าเลื่อนการก่อสร้างไป ขณะที่งานต่างประเทศรับได้แค่ที่สิงคโปร์ที่คาดว่าจะได้งานสร้างรง.ปิโตรเคมี มูลค่า 600-700 ล้านบาทในไตรมาส 1/52 อาจส่งผลให้ยอดรับรู้รายได้ในปีหน้าลดลงจากปีนี้

ขณะที่รายได้ปี 51 ทำได้เพียง 1.4 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท เพราะงานเข้ามาน้อย แต่มีอัตรากำไรขั้นต้นหรือมาร์จิ้นสูงขึ้นกว่า 3% จากปีก่อนได้ต่ำกว่า ทำให้ปี 51 กำไรสุทธิน่าจะออกมาดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21.67 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะจ่ายปันผลได้เป็นปีที่ 2

นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร STEC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 52 คาดว่างานใหม่ยังมีน้อยเช่นเดียวกับปีนี้ที่มีปริมาณงานเข้ามาเพียง 8 พันล้านบาท เนื่องจากเอกชนไม่กล้าลงทุนในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และคาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะได้ข้อยุติในต้นปีหน้า ขณะที่บริษัทจะหันไปรับงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี แทนโรงไฟฟ้าที่เลื่อนการก่อสร้างออกไปอย่างน้อย 6 เดือนหรือ 1 ปี

"ปี 52 ทางเราก็ต้องมุ่งภาคเอกชนมากขึ้น แต่ก็คงไม่ง่าย ต้องไปกลุ่มที่ตัดสินใจแน่นอนและต้องลงทุนจริงๆ เรามองไว้น่าจะเป็นงานด้านปิโตรเคมี ซึ่งอยู่ในช่วงขาลง แต่เป็นจังหวะเหมาะที่เขาจะลงทุน ขยายกำลังการผลิต เมื่อสร้างเสร็จก็ไปสอดรับกับข่วงขาขึ้นพอดี จากเมื่อก่อนบริษัทคาดว่าจะได้งานโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูลไอพีพีมา 4 โรงเลื่อนหมดเลย อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ทำให้ปีหน้าแทบจะไม่มีงานสร้างโรงไฟฟ้า นอกนั้นก็ไม่มีงานอย่างอื่นเลย"นายวรพันธ์ กล่าว

นายวรพันธ์ ยอมรับว่า ปีหน้าเป็นปีที่ลำบาก หากไม่มีเมกะโปรเจ็คต์ ถ้าได้งานใหม่ 8 พันล้านบาทก็ถือว่าเก่งแล้ว ปี 51 ได้งานใหม่เข้ามาเพียง 8 พันล้านบาท ถือว่าน้อยจากปกติที่บริษัทเคยได้รับงานใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 4/51 ไม่มีงานใหม่เข้ามาเลย จากก่อนหน้าคาดว่าทั้งปีจะได้งานใหม่ราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ถึงสิ้นปีนี้บริษัทจะมีงานในมือ(backlog)น่าจะเหลืออยู่ 1 หมื่นล้านบาท

ในปี 51 คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้ 1.4 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าปีที่แล้วที่มียอดรับรู้ฯ 1.7 หมื่นล้านบาท เหตุผลหลักมาจากงานใหม่ไม่ค่อยมีเข้ามา แต่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ปีนี้เทียบกับปีที่แล้วปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 3% กว่าจากปี 50 ที่มาร์จิ้นต่ำกว่า 3% โดยกำไรสุทธิจะสูงกว่าปีที่แล้ว แต่ไม่ได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

"ในปี 51 กำไรจะดีขึ้น แต่ไม่มากพอที่จะจ่ายปันผล ไม่รู้จะถึง 100 ล้านหรือเปล่า กำไรแค่นี้ถ้าเอาไปปันผลก็จะไม่มาก สู้เราเอามาใช้ในโครงการ เราก็จะกู้เงินน้อยลง เพื่อไปทำกำไรในโครงการข้างหน้า ทำมาร์จิ้นให้สูงขึ้น เพื่อไปจ่ายปันผลในปีถัดไปได้มากกว่า" นายวรพันธ์ กล่าว

สำหรับปี 52 คาดจะรับรู้รายได้ประมาณ 9 พันล้านบาท จากงานในมือที่มีอยู่ ฉะนั้นบริษัทก็ต้องเร่งหางานใหม่เข้ามา ถ้าหางานใหม่ได้ 8 พันล้านบาท ก็คาดว่าจะรับรู้รายได้อีก 4 พันล้านบาท รวมแล้วน่าจะรับรู้ได้ 1.2 หมื่นล้านบาท และหากโครงการรถไฟฟ้าเกิดได้ ก็ที่จะสามารถเพิ่มยอดรับรู้รายได้เข้าไปได้อีก

ส่วนมาร์จิ้นปีหน้าจะสูงกว่า 3% หรือประมาณ 4-5% จากงาน backlog ที่มีอยู่ โดยงานแอร์พอร์ตลิงค์เหลือยู่ 400-500 ล้านบาท เป็นงานที่ไม่มีกำไร ซึ่งบริษัทคาดจะสร้างเสร็จในเดือน ก.พ. 52 ส่งมอบก่อนระยะเวลาที่ได้รับการขยาย

*ลุ้นได้งานรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1 สัญญา

นายวรพันธ์ กล่าววา โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) คงต้องรอให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงาน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาทบทวนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีหน้าคงจะรู้ผลและบริษัทคาดหวังว่าจะได้งานอย่างน้อย 1 สัญญา จากที่บริษัทยื่นประมูลไป 3 สัญญา

"คิดว่าสายสีม่วงปีนี้คงไม่ทันแน่นอน อย่างไรก็ตาม เราก็หวังว่าในเมื่อเราเข้าทั้งสามสัญญา ก็น่าจะได้สักหนึ่งสัญญา คือเราย้อนกลับไปดูสถิติที่ผ่านมา โดยปกติเราเข้าประมูล 3 โครงการเราจะได้มา 1 โครงการ ถ้าเอาสถิติมาจับก็น่าลุ้นอยู่เหมือนกัน"นายวรพันธ์ กล่าว

งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ บริษัทเข้าประกวดราคาทั้ง 3 สัญญา คือ 1.งานโครงสร้างยกระดับตะวันออกจากเตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ระยะทางประมาณ 12 กม. มี 8 สถานี มูลค่างานประมาณ 1.48 หมื่นล้านบาท 2.งานโครงสร้างยกระดับตะวันตก จากสะพานพระนั่งเกล้า - สถานีคลองบางไผ่ และงานก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศใต้ของสะพานพระนั่งเกล้า มีระยะทางประมาณ 11 กม.มี 8 สถานี มูลค่างาน 1.35 หมื่นล้านบาท และ 3.งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณบางใหญ่ และอาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง มูลค่างาน 7 พันล้านบาท

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวคาดว่าการประมูลคงไม่จบทันปี 52 แต่เปิดประมูลได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเข้าประมูลรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง ยกเว้นรถไฟฟ้าสายสีแดงที่มีเงื่อนไขให้เอกชนไปรื้อย้ายเองก็ไม่เข้าประมูลด้วย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่ว่าพรรคใดขั้วใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็ต้องดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เพราะถ้าไม่ทำเศรษฐกิจก็จะเข้าขั้นสาหัสจริงๆ และไปต่อไม่ได้เลย หากรัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็คต์ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีการจ้างงานจำนวนมาก

"ผมว่าการเมืองทำลายเศรษฐกิจไปหมดแล้ว กลายเป็นว่าถ้าการเมืองไม่เดินหน้า อย่างที่ควรจะเป็น จะทำให้ประเทศเราเสียหาย มากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่นักลงทุนไม่มั่นใจถ้าการเมืองยังเล่นกันอยู่อย่างนี้ ก็เลยไม่กล้าลงทุน เพราะไม่รู้ว่านโยบายรัฐบาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าเราไม่มีปัญหาการเมือง ผมว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจะง่ายกว่าปี 40 เพราะครั้งนี้แบงก์เราไม่ได้เป็นอะไร แต่การเมืองเป็นแบบนี้ ก็ทำให้แบงก์ระมัดระวัง ในการปล่อยกู้ แบงก์ก็จะเลือกปล่อยลูกค้ารายใหญ่"นายวรพันธ์ กล่าว

*หนีหางานตปท.แต่ได้แค่สิงคโปร์

นายวรพันธ์ กล่าวว่า จากภาวะที่งานในประเทศที่มีน้อย ทำให้บริษัทมีแผนหันไปรับงานต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้รอผลเจรจางานที่สิงคโปร์ คาดว่าเดือน ม.ค.52 น่าจะรู้ผล เป็นงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีของเอสโซ่ หรือ โครงการ Exxon chemical complex เฟสแรก มูลค่า 600-700 ล้านบาท หากได้งานเฟสแรกก็จะมีโอกาสมากขึ้นในการรับงานเฟสต่อไป โดยก่อนหน้าบริษัทได้งานวางท่อก๊าซในสิงคโปร์

ส่วนที่อินเดีย บริษัทได้เข้าไปศึกษาดูแล้วราคางานสู้ที่สิงคโปร์ไม่ได้ เพราะมีคู่แข่งมากทำให้เกิดการตัดราคา แต่ก็ยังคิดอยู่ว่า ถ้ามีงานโรงไฟฟ้าในอินเดีย และหากกลุ่มบริษัทที่เคยร่วมงานในไทย เช่น มิตซูบิชิ , มารูเบนิไปรับงานที่อินเดีย บริษัทก็จะเข้ารับงานรับเหมาช่วง (subcontract) แต่ไปเองก็ไม่อยากไป กลัวทำเองแล้วจะเสียหาย หรือไม่คุ้มกับที่รับงาน โดยขณะนี้ยังไม่มีโอกาสเข้าไปรับงานที่อินเดีย

ขณะที่ มัลดีฟส์ ก็เป็นอีกแห่งที่บริษัทคิดว่าจะได้งาน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนประธานาธิบดี ก็ทำให้โอกาสเปลี่ยนไป ส่วนย่านตะวันออกกลาง คงสู้ราคาบริษัทในแถบประเทศเดียวก้นไม่ได้ เช่น ตุรกี

ดังนั้น หากได้งานต่างประเทศแค่เพียงสิงคโปร์ ก็จะมีสัดส่วนงานไม่ถึง 10% จากก่อนหน้านี้ ได้ตั้งความหวังว่าจะได้งานต่างประเทศ ทดแทนงานในประเทศที่หายไป แต่ก็ทำอย่างที่วางแผนได้ยาก

อย่างไรก็ดี ในปีหน้าบริษัทได้เตรียมสภาพคล่องไว้ 500 ล้านบาทรองรับกับการรับงานใหม่ และมีส่วนที่รอรับเงินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ที่จ่ายไปล่วงหน้าในโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ อีก 1 พันล้านบาท ขณะที่โครงการสายสีม่วง และ สายสีเขียว ก็ได้ติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)ในการให้สินเชื่อในการดำเนินโครงการแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ