ล่าสุดเมื่อ 11.14 น.ดัชนี SET อยู่ที่ 428.52 จุด เพิ่มขึ้น 3.73 จุด(+0.88%) อ่อนตัวลงจากเมื่อเวลา 9.57 น. ดัชนีอยู่ที่ 431.28 จุด เพิ่มขึ้น 6.49 จุด (+1.53%)
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยกลับมาอ่อนตัวลง แม้จะโหวตได้นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตย (ปชป.) มาจากการเทขายหลังเก็งกำไรข่าวนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประกอบกับขณะนี้มีกลุ่มคนเสื้อแดงปิดประตูรัฐสภาอยู่ ก็หวั่นเกรงจะเกิดเหตุรุนแรง ทำให้หุ้นย่อตัวลงมา และภาพรวมอาจผันผวนตามแรงขาย
"ถ้าเหตุการณ์ไม่วุ่นวายไม่ยื้ดเยื้อ ก็น่าจะตอบรับเชิงบวก แต่ก็ยังมองว่า เป็นการ sell on fact อยู่ดี แนวต้านจริงมี 2 ระดับที่ 432 และ 440 ซึ่งเป็นบริเวณที่หนาแน่น" นายพิชัยกล่าว
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีการตอบรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
เนื่องจากมองว่านับจากนี้ไปจะต้องระวังปัญหาในเรื่องของความแตกแยกที่จะมีสูงขึ้น ซึ่งก็เริ่มเห็น ๆ กันบ้างแล้ว และนายกฯคนใหม่จะต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมืองที่จะมีขึ้น โดยก่อนหน้านี้พรรคพลังประชาชนก็เจอมาแล้ว เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็น่าจะเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจยังไม่เดินหน้าไปไหน
ทั้งนี้ เช้านี้ ดัชนีฯปรับตัวขึ้นมาที่จุดสูงสุดที่ 431 จุดแต่ไม่ไปไหนไกล เพราะยังมีความเป็นห่วงในเรื่องการเมืองอยู่ พร้อมให้แนวต้านที่ 432 จุด แนวรับ 420 จุด
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" ว่า การได้นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ถ้ามีเสถียรภาพก็ส่งผลดี เพราะตอนนี้ประเด็นอยู่ที่ว่าเสถียรภาพจะอยู่ได้นานแค่ไหนคิดว่าสำคัญ ตลาดหุ้นคงจะดูอยู่ ประกอบกับนโยบายเศรษฐกิจว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเบื้องต้นเท่าทีเห็นคงจะเน้นนโยบายการคลังที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพราะตอนนี้เป็นวิธีเดียวที่ทำได้แล้ว และเป็นวิธีที่ทั่วโลกใช้กันอยู่และธนาคารแห่งประเทศไทยก็เริ่มลดดอกเบี้ยมากแล้ว ถ้าทำดี ๆ ก็สามารถจะประคับประคองไปได้
ช่วงสั้นตลาดหุ้นตอบรับในทางที่ดี ตลาดต่างประเทศ sentiment ก็ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหัวใจสำคัญที่สุดคือ นโยบายเศรษฐกิจว่าตอนนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหญ่ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่ทำอะไรเลยเศรษฐกิจติดลบแน่นอน ฉะนั้น ต้องดูว่ามาตรการการคลังทั้งหลายที่จะออกมาจะเป็นอย่างไรจะกระตุ้นได้มากน้อยแค่ไหน
"ที่เป็นห่วงที่สุดคือเสถียรภาพทางการเมือง เพราะรัฐบาลชุดนี้คงเป็นรัฐบาลผสมที่เยอะ หลายพรรคก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะสามารถทำงานกันได้แค่ไหน" นายไพบูลย์ กล่าว