ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) หลังจากมีรายงานว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการลงทุนในกองทุนแชร์ลูกโซ่ของนายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในตลาดการเงิน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 65.15 จุด หรือ 0.75% แตะที่ 8,564.53 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 11.16 จุด หรือ 1.27% แตะที่ 868.57 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 32.38 จุด หรือ 2.10% แตะที่ 1,508.34 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.21 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.68 พันล้านหุ้น
มาดอฟฟ์ อดีตประธานกรรมการตลาดนาสแดค ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหาจัดตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในรูปแบบของ แชร์ลูกโซ่ (ponzi scheme) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับลูกค้าที่เข้าลงทุนในกองทุนดังกล่าวเป็นวงเงินถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ หลังจากที่ได้เกิดคดีใหญ่สะเทือนวงการธุรกิจโลกมาแล้วอย่าง "คดีเอ็นรอน" ในปีพ.ศ.2544 และส่งผลให้หลายฝ่ายกังขาในการดำเนินงานของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) อย่างไรก็ตาม ศาลอนุญาตให้มาดอฟฟ์ได้รับการประกันตัวออกไปโดยใช้สินทรัพย์มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์
เจย์ หว่อง นักวิเคราะห์จากบริษัท เพย์เดน แอนด์ รีกัล กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหลังจากมีรายงานว่าบริษัทและสถาบันการเงินที่ได้รับเสียหายจากการเข้าไปลงทุนในกองทุนอื้อฉาวของมาดอฟฟ์ มีจำนวนเพิ่มขึ้นในเวลานี้ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในตลาดการเงิน
โนมูระ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่สุดของญี่ปุ่น, ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ เอสเอ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 3 ของยุโรป และธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ซึ่งธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของฝรั่งเศส ได้ออกมาเปิดเผยมูลค่าความเสียหายจากการเข้าไปลงทุนในกองทุนแชร์ลูกโซ่ของมาดอฟฟ์ โดยโนมูระเปิดเผยว่า บริษัทได้รับความเสียหายเป็นวงเงิน 302 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ สูญเงิน 468 ล้านดอลลาร์ และธนาคารซอคเจนสูญเงิน 13.3 ล้านดอลลาร์
ไฟแนนเชียล ไทม์ รายงานว่า ธนาคาร เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ อาจสูญเสียเงินจากการลงทุนในกองทุนอื้อฉาวของมาดอฟฟ์มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์เลอ ตองป์ ของสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่า ธนาคารและกองทุนเพื่อการลงทุนของสวิสซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเจนีวาสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 5 พันล้านฟรังก์สวิส (4.22 พันล้านดอลลาร์) รวมถึงและธนาคารไรช์มุธ แอนด์ โค นอกจากนี้ ธนาคารบังโค ซานตานเดร์ ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสเปน ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และบริษัท แมน กรุ๊ป ก็ได้รับความเสียหายด้วย
"ข่าวการฉ้อโกงของอดีตประธานตลาดนาสแดคส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก จึงทำให้ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงขานรับข่าวที่ว่าประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ส่งสัญญาณว่าจะให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์" เจย์ หว่องกล่าว
นักวิเคราะห์คาดว่า ภายในสัปดาห์นี้ทางทำเนียบขาวจะเปิดเผยทางเลือกใหม่ๆเพื่อช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ และเชื่อว่าประธานาธิบดีบุชจะจัดสรรเม็ดเงินจากมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ออกมาช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติไม่อนุมัติแผนให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศ
นักลงทุนจับตาดูการประชุมครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.2551 ของเฟด ซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 16 ธ.ค.นี้ โดยมีกระแสคาดการณ์ในวงกว้างว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ลงอีก 0.5% เหลือเพียง 0.5% เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยรุนแรง นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ 2 สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งจะมีการรายงานในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าโกลด์แมน แซคส์จะขาดทุน 3.50 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งจะเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 9 ปี และคาดว่ามอร์แกน สแตนลีย์ จะขาดทุนอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4
ทั้งนี้ หุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ดีดขึ้น 3.6% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 7.5% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.28 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.46 ดอลลาร์ และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 21 เซนต์ ปิดที่ 13.64 ดอลลาร์