นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. ดีคอนโปรดักส์ (DCON) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 52 ไว้เท่ากับปี 51 ที่ 700 ล้านบาท ขณะที่กำไรปี 51 คาดว่าจะใกล้เคียงปี 50 ดังนั้น อัตราการจ่ายปันผลปี 51 ไม่น่าจะแตกต่างจากงวดปี 50 ที่จ่ายในอัตรา 0.08 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
นายวิทวัส กล่าวว่า แผนงานปี 52 มี 2 แนวทาง คือ การลดค่าใช้จ่าย สต๊อกสินค้าและของเสียที่มีในโรงงานทั้งหมด ลดได้กี่เปอร์เซ็นต์ถือเป็นผลงาน ประการที่สอง คือ เพิ่มยอดขายและรายรับ โดยอะไรที่ขายได้ ไม่ว่าจะเป็นเศษเหล็ก ที่ดินเปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือไม่มีการขึ้นโครงการนำออกมาขายให้หมด เช่น รถบรรทุกที่มีอยู่ตอนนี้จำนวนมาก จอดทิ้งอยู่ไม่ได้ใช้งาน ก็เอาออกมาขาย เพราะฉะนั้นไตรมาส 4 นี้ ก็จะมีตัวเลขโผล่ขึ้นมาจากรายรับที่ไม่ใช่รายรับของกิจการหลัก และถ้าลดพวกนี้ได้หนี้ก็จะหมดไปด้วย
นายวิทวัส กล่าวว่า โครงสร้างรายได้ของบริษัท มาจากยอดขายวัสดุก่อสร้างราว 80%, ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งจากโครงการอรดาแฟคตอรี่แลนด์ และโครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 10% ที่เหลือเป็นรายได้จากการขายวัสดุก่อสร้างของธุรกิจในเครือที่อยู่ทางภาคเหนือและภาคใต้
สัดส่วนรายได้จากภาคเอกชน ประมาณ 90% โดยเป็นผู้ซัพพลายวัสดุก่อสร้างให้กับผู้รับเหมา เช่น บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) บมจ. ช.การช่าง (CK) ขณะที่งานราชการ เช่น งานสร้างอาคารของหน่วยงานราชการ โรงเรียน คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 10% ของรายได้รวม สาเหตุที่เน้นรับงานเอกชนมากกว่างานราชการเนื่องจากประเภทของผลิตภัณฑ์ของ DCON เช่น เสาเข็มที่เราเลือกผลิตมากที่สุดนั้นเหมาะกับโครงการประเภทบ้านพักอาศัย
"ยอมรับว่าทำธุรกิจกับลูกค้าภาคเอกชนก็มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินบ้างเล็กน้อย แต่เนื่องจากบริษัทมีความเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม ถ้ารายไหนไม่มีความมั่นคง เราก็ให้ธนาคารค้ำประกันไว้ หรือไม่ก็ดูว่าเจ้าของกิจการมีความมั่นคงสูงแต่กิจการอ่อนแอ ก็ให้เจ้าของกิจการค้ำประกันเป็นส่วนตัว"นายวิทวัส กล่าว
จากการที่บริษัทมีความรัดกุมเรื่องการให้สินเชื่อกับลูกค้านี้เอง ทำให้ปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.3-0.4 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก และสถาบันการเงินพร้อมที่จะสนับสนุนเงินกู้ใช้ทำโครงการสำหรับคนที่ D/E ต่ำกว่า 1 เท่า แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะในส่วนของกำลังผลิตก็เพียงพอและสามารถรองรับตลาดได้อีกจนถึงปี 53
นายวิทวัส กล่าวว่า มองว่าช่วงปี 52 จะเป็นช่วงของการเยียวยาธุรกิจแต่จะไปฟื้นตัวเอาจริงๆ ในปี 53 และในอนาคตหากมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเซียน อยากจะขยายงานก็อาจจะร่วมมือกัน หรือ Merge กัน แต่คงยังไม่ใช่เวลานี้
*ยอมรับหุ้นไม่ Active ปล่อยตามกลไกตลาด ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน
นายวิทวัส กล่าวยอมรับว่า หุ้น DCON ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว ไม่ค่อย Active แต่ก็ไม่แผนจะซื้อหุ้นคืนเหมือนบริษัทอื่นๆ เนื่องจากอยากให้ปล่อยไปตามกลไกตลาด
"ปล่อยไปตามธรรมชาติก่อนดีกว่า และผมคิดว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว ถ้ากิจการเราดีจริง คนที่ถือหุ้นเราจะ Happy ในปี 53-54 ซึ่งเราคิดว่าอุตสาหกรรมการก่อสร้างจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงนั้น...และสำหรับส่วนตัวไม่เคยขายออกหรือซื้อเพิ่ม ถืออยู่ประมาณ 60.10% มาหลายปีแล้ว และยังไม่คิดจะขายออกหรือซื้อเพิ่ม"นายวิทวัส กล่าว
*ฝากรัฐบาลใหม่ขจัดปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้า
นายวิทวัส กล่าวฝากถึงรัฐบาลใหม่ว่า เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่น่าจะอยู่ได้ 1 ปี แล้วค่อยมาประเมินผลงานกัน ซึ่งถ้ารัฐบาลทำสำเร็จ มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ธนาคารปล่อยสินเชื่อสะดวกขึ้น มีกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ทุกอย่างก็คงจะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าคงจะเป็นปี 53 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องความเป็นธรรมทางการค้า แก่ผู้ประกอบการที่ค้าขายอย่างสุจริต ด้วยการกวดขันหรือลงโทษผู้ค้าที่ออกใบกำกับภาษีปลอม หรือไม่อยู่ในระบบการค้าที่ถูกต้อง
"ต้องลงโทษพวกนี้อย่างจริงจัง อย่าให้เราเสียเปรียบการค้า เพราะถ้าขายสินค้าราคาเดียวกัน สิค้าเราแข่งขันได้อยู่แล้ว แต่ที่ขายไม่ได้เพราะคนอื่นไม่มี Vat หลบเลี่ยงภาษี...ลูกค้าบางรายไม่ยอมซื้อเราเพราะแตกต่างกันแค่เรื่อง Vat 7%"นายวิทวัส กล่าว