โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)หลังจากเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/51 ฟื้นตัว และในปี 52 จะเติบโตต่อเนื่อง หลังได้ผ่านจุดต่ำสุดของธุรกิจแล้ว เชื่อว่าธุรกิจหนังยังไปได้ดี เพราะจะมีหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องรอเข้าฉายในปีหน้า ประกอบกับ ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำอยู่มาก ทำให้มี Upside อยู่มากกว่า 50% จากราคาเป้าหมาย รวมทั้งอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลก็ยังดีอยู่ และเมื่อบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนราว 10% ยิ่งส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น
ช่วงเช้าราคาปิดที่ 6.85 บาท บวก 0.35 บาท(+5.38%)โดยราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 6.95 บาท และราคาต่ำสุดที่ 6.55 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.แอ๊คคินซัน ซื้อ 12.00 บล.ฟิลลิปฯ ซื้อ 12.00 บล.ธนชาต ซื้อ 12.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 10.80 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 10.00
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊คคินซัน กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/51 คาดว่ารายได้จะดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากที่มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายมากขึ้น และปัจจัยการเมืองก็คลี่คลายลงแล้ว จึงมองว่าเป็นจังหวะการน่าซื้อ
"เรามองว่า MAJOR เป็นตัวหนึ่งที่น่าลงทุนที่เราแนะนำซื้อในช่วงนี้ เท่าที่เช็คดูรายได้ค่าเช่ารับล่วงหน้าเขาก็เพิ่มขึ้น และเปิดสาขาใหม่ที่รัตนาธิเบศร์ รวมทั้งปีหน้าจะมีหนังฟอร์มใหญ่จะเข้าฉาย เช่น แฮร์รี่พอตเตอร์ และก็จำนวนผู้ชมเริ่มขยับขึ้น ความเสี่ยงราคาหุ้นต่ำ ราคาตอนนี้มี upside ตั้ง 100% และปันผลก็ดีด้วยก็น่าลงทุน"นายรณกฤต กล่าว
ทั้งนี้ มองว่า MAJOR ผ่านช่วงเลวร้ายในปี 51 และแนวโน้มปี 52 จะฟื้นตัว รวมทั้งอัตราผลตอบแทนการจ่ายเงินปันผลอยู่ในระดับดี โดยในปี 51 คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.60 บาท/หุ้น โดยครึ่งปีแรกจ่ายแล้ว 0.39 บาท และคาดว่าครึ่งปีหลังจะจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 0.20 บาทต่อหุ้น
ส่วนการซื้อหุ้นคืนของบริษัท วงเงินไม่เกิน 650 ล้านบาทนั้น ทำให้ราคาหุ้นวันนี้ดีดขึ้นไปแรง แต่ราคาหุ้นลงมาต่ำกว่าbook value อยู่ที่ 6.60 บาทต่อหุ้น แต่วันนี้ราคาหุ้นขึ้นมารับก็๋ยังไม่ถึงราคาเป้าหมาย ก็ยังลงทุนได้ เพราะแนวโน้มราคาพลิกกลับมาเริ่มฟื้นตัว
นักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4/51 มีหนังเข้าฉายดีกว่าไตรมาส 3/51 และ ไตรมาส 4/50 โดยเป็นหนังที่คาดว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท มี 3 เรื่อง ได้แก่ องค์บาก 2 , หลวงพี่เท่ง 2 และเจมส์บอนด์ ส่งผลให้รายได้ดีขึ้น
และแนวโน้มในปี 52 ก็ยังดีต่อเนื่องจากหนังฟอร์มยักษ์ที่เลื่อนจากปีนี้ไปเข้าฉายปีหน้า เช่น นเรศวร 3, แฮรี่พอตเตอร์ ภาคใหม่, องค์บาก 3 เป็นต้น รวมทั้ง โรงหนังจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นที่เพิ่งเปิดในปีนี้และเปิดใหม่ในปีหน้า ช่วยสนับสนุนให้รายได้ในปี 52 ดีขึ้น
คาดว่ารายได้ปี 52 จะเติบโต 3% ซึ่งสาเหตุที่โตน้อยเพราะ MAJOR ได้ขายเอ็มพิคฯ ไปให้ทราฟฟิกคอนเนอร์(ภายหลังเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC) ส่วนกำไรสุทธิ ปี 52 ประเมินไว้ที่ 793 ล้านบาท โต 6.5% จากปีนี้ที่ประมาณการไว้ที่ 744 ล้านบาท
"เหตุผลที่แนะนำซื้อ เพราะราคาพื้นฐานกับราคาปัจจุบันก็ยังห่างกันเยอะ และอีกอย่างในปี 52 อาจมีรายได้พิเศษบางอย่างเกิดขึ้นด้วยที่ได้จากการเปิดสาขารัตนธิเบศร์ที่จะมีรายได้ค่าเช่าระยะยาวเข้ามาก้อนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รวมในประมาณการ"
รวมทั้ง ตามแผนในปี 52 บริษัทจะมีการจัดตั้ง property fund ซึ่งบริษัทกำลังศึกษาอยู่ในการนำสินทรัพย์ที่เมเจอร์ รัชโยธิน และเอสพลานาดเข้ากองทุน อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดการเงินว่าเอื้ออำนวยในการจัดตั้งหรือไม่ ถ้าทำสำเร็จก็จะมีบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์
นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนของบริษัทที่ประกาศไปเมื่อวานนี้ ช่วยทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น ซึ่งปกติมีอัตราผลตอบแทน 4-5% แต่เมื่อราคาหุ้นปรับลงทำให้อัตราผลอตบแทนสูงขึ้นเป็นประมาณ 10% ทั้งนี้ คาดว่าในปี 51 MAJOR จะจ่ายปันผลได้ 0.63 บาทต่อหุ้น และในปี 52 จะเพิ่มเป็นจ่าย 0.75 บาทต่อหุ้น
บล.ทิสโก้ ปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ"เนื่องจากมี Upside หนาแน่นหรือประมาณ 61% ต่อราคาเป้าหมาย 10.80 บาท รวมทั้งการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 10%
และเห็นว่ารายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์(box office)ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาและภาพยนตร์ที่เข้าฉายในเดือนธันวาคมน่าจะช่วยยกระดับผลประกอบการของ MAJOR ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการบริโภคที่ชะลอตัวและความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ แม้ว่าเราจะเห็นว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากในอนาคต แต่ภาพยนตร์ที่จ่อคิวเข้าฉายที่มีความน่าสนใจและการรับรู้รายได้จากการขยายสาขาน่าจะหนุนประมาณการที่ค่อนข้างเข้มงวดของเราในปีหน้า
ด้านบล.เอเซียพลัส คาดว่า MAJOR จะกลับมาเติบโตในงวดไตรมาส 4/51 สวนกระแสเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ เนื่องจากภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ องค์บาก-2 สามารถทำรายได้ BOX OFFICE สูงสุดในปีนี้ คือ เกิน 130 ล้านบาทภายในช่วง 10 วันที่ผ่านมา และยังมีภาพยนตร์อีก 2 เรื่อง คือหลวงพี่เท่ง-2 และเจมส์บอนด์ภาคใหม่ที่ทำรายได้ราว 100 ล้านบาท
รวมทั้งยังคาดว่า MAJOR จะเติบโตต่อเนื่องได้ในปี 52 เพราะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายตลอดปี อาทิ นเรศวร-3 องค์บาก-3 แฮร์รีพอร์ตเตอร์-5 ทรานฟอร์มเมอร์-2 โดยคาดว่าในงวดไตรมาส 4/52 จะมีรายได้เพิ่มจากค่าเซ้งพื้นที่เช่าล่วงหน้าจากสาขาใหม่รัตนาธิเบศร์ที่มีแผนเปิดในปลายปี 52(ซึ่งรายการดังกล่าวยังไม่รวมในประมาณการ)ทำให้คาดว่า MAJOR ได้ผ่านพ้นจุดต่ำจุดไปแล้ว และจะฟื้นตัวเร็วกว่าธุรกิจอื่น ๆ