ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 359.61 จุด ขานรับ FED เดินหน้าหั่นดอกเบี้ยเต็มสูบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 17, 2008 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 350 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเป้าหมายที่จะปกป้องเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยรุนแรง

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 359.61 จุด หรือ 4.20% แตะระดับ 8,924.14 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่ง 44.61 จุด หรือ 5.14% แตะระดับ 913.18 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 81.55 จุด หรือ 5.41% สู่ระดับ 1,589.89 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.54 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 6 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.27 พันล้านหุ้น

จิม แมคโดนัลด์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากนอร์เทิร์น ทรัสต์ ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะบานขึ้นกว่า 350 จุด เนื่องจากนักลงทุนขานรับเฟดที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ลงอีก 0.75-1.0% สู่ระดับ 0-0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีพ.ศ.2497 จากเดิมที่ระดับ 1.00% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 0.50% จากเดิมที่ระดับ 1.25% โดยมีเป้าหมายที่จะปกป้องเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยในระดับที่ลึกและรุนแรง

คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) กล่าวภายหลังการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยครั้งประวัติศาสตร์ว่า "เฟดจะใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน เพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ถดถอยในระดับที่ลึกและรุนแรง เฟดยังคงยืนหยัดในนโยบายสนับสนุนกลไกตลาดการเงินให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน โดยผ่านการแทรกแซงตลาดอย่างเหมาะสม รวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน และการให้ความช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์"

แมคโดนัลด์กล่าวว่า "การตัดสินใจที่เหนือความคาดหมายของเฟดในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดพร้อมที่จะใช้ 'ยาแรง' เพื่อสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อดูจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของสหรัฐที่หดตัวลงอย่างมากและดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ที่ลดลงเหนือความคาดหมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อ ข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของเฟด"

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีซีพีไอทั่วไปเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.7% ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลซีพีไอรายเดือนในปีพ.ศ.2490 ขณะที่ดัชนีซีพีไอพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ทรงตัวที่ระดับ 0.1% ในเดือนพ.ย.

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเรื่องคดีการฉ้อโกงของนายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ อดีตประธานกรรมการตลาดนาสแดค หลังจากมีรายงานว่าสถาบันการเงินและบริษัทหลายแห่ง รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก สูญเสียเงินจำนวนมากจากกองทุนแชร์ลูกโซ่ที่ผิดกฎหมายของมาดอฟฟ์ รวมถึง ธนาคาร HSBC และธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์

หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 14% แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาสสี่ 2.29 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกนับตั้งแต่โกลด์แมน แซคส์ นำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อปีพ.ศ.2542 ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 13% และหุ้นเวลล์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 14%



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ