นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัย บล.นครหลวงไทย(SCRI) คาดในช่วงเดือน ม.ค.52 น่าจะเกิดภาวะ JANUARY EFFECT ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 480-500 จุด และมีโอกาสขึ้นไปสูงสุดที่ 530 จุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เชื่อว่าปัญหาการเมืองในช่วงเดือน ม.ค.จะเป็นจุดที่ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้ปัญหาหลักในประเทศ คือปัญหาการเมือง ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ
"ปีหน้าเศรษฐกิจจะเข้าสู่จุด Bottom ในช่วงไตรมาส 2 ไตรมาส 3 แต่หุ้นจะเริ่มฟื่นต้วก่อน และเข้าสู่จุดต่ำในปี 51 โดยหุ้นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Commodity อย่าง น้ำ ไฟ โรงไฟฟ้า แต่พวกอุตสาหกรรมหลักอย่างรถยนต์ แบงก์ พลังงาน ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว"นายสุกิจ กล่าว
นายสุกิจ กล่าวว่า ในปี 52 จะเข้าสู่จุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจและคาดว่าจะกลับมาดีขึ้นในปี 53 โดยมีจุดเปลี่ยนจากเศรษฐกิจสหรัฐที่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ หากแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริงจะส่งผลดีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่วนประเทศไทยหลังมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างชัดเจนแล้ว หากรัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายได้จริง และสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จะยิ่งส่งผลดีต่อประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาไทยก็ไม่มีปัญหาสถาบันการเงิน
ในช่วงเดือน ม.ค. คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น และด้านการเมืองจะมีเสถียรภาพในช่วงเวลาเดียวกันดังนั้นต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้น คือ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 40% จากเดิม 35% และให้ลดการลงทุนในพันธบัตรจาก 40% เหลือ 35% เนื่องจากราคาพันธบัตรสูงมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ลงทุนในทองคำ ตลาดเงิน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่างละ 5%
นายสุกิจ คาดว่า ในปี 52 จะเห็นดัชนีเข้าสู่จุดสูงสุดที่ 530 จุดได้ และ P/E จะอยู่ที่ 8 เท่า แต่ต้องขึ้นอยู่กับ P/E ของตลาดหุ้นในภูมิภาคด้วย ทั้งนี้เห็นว่าการลงทุนไม่ควรมองที่ดัชนีของตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวแต่ควรมองที่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า โดยแนะนำหุ้นที่เกี่ยวการบริโภคขั้นพื้นฐาน อาทิ โรงไฟฟ้า น้ำประปา ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจ EGCO, RATCH
ส่วนการปรับลดกำลังการกลั่นของโอเปค 2.2 ล้านบาร์เรลในวันนี้ไม่มีผลต่อหุ้นพลังงานและราคาน้ำมันมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันในปี 52 จะอยู่ที่เฉลี่ย 60-65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และช่วงต่ำจะอยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โอกาสที่ราคาน้ำมันจะขึ้นไปถึงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลคงเป็นไปได้น้อย เนื่องจากดีมานด์ในตลาดโลกยังคงชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม มองว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดหุ้นปี 52 จะอยู่ที่ประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากจากปี 51 ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจหลักทรัพย์ทั้งในด้านที่ปรึกษาการเงินและการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้มองว่าจะกระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศสูง ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อยจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ช่วงเทียงวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 452.84 จุด บวก 6.90 จุด (+1.55%)