วงการโบรกฯคาดธุรกิจหลักทรัพย์ปี 52 เห็นกิจการเปลี่ยนมือ-ควบรวมมากขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 19, 2008 15:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาธิต วรรณศิลปิน อดีตกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย(SCIBS)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ในปีหน้า(2552)น่าจะได้เห็นการ"เปลี่ยนมือ"การถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ กันมากขึ้น โดยขณะนี้ก็เริ่มมีกระแสออกมาให้เห็นแล้วว่ามีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งต้องการที่จะขายกิจการออกให้แก่บุคคลอื่น

"ผมคิดว่าตอนนี้มีนักลงทุนกลุ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายราย ที่ต้องการไลเซนต์ธุรกิจหลักทรัพย์ในการซื้อ ผมคิดว่าถ้าราคามันถูกลง ผมคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้น ขณะเดียวกันการควบรวมกิจการ ถ้าทำแล้วมันไม่เกิด synergy จริง ๆ มันมีปัญหาเยอะ ผมคิดว่าการควบรวมคงเกิดขึ้นไม่มาก หรือมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย"นายสาธิต กล่าว

นายสาธิต กล่าวอีกว่า หากมีการควบรวมจำนวนโบรกเกอร์น้อยลง แต่ภาวะปัจจุบันไม่น่าจะเกิด synergy จริงอย่างที่ควรจะเป็น คือ ควบรวมแล้วต้นทุนลดลง หรือขนาดของธุรกิจใหญ่ขึ้น

"มันไม่ใช่ไง ควบรวมแล้ว เจ้าหน้าที่การตลาดไม่อยู่ ลูกค้าไม่อยู่ ลูกค้าซ้ำกัน มันก็อาจจะไม่เกิดผลในทางที่มันควรจะเป็นในธุรกิจหลังการควบรวมกิจการแล้ว"

นายสาธิต กล่าวว่า มีโบรกเกอร์จำนวนหนึ่งที่ผู้ถือหุ้นอยากขายหุ้นออกมาเพื่อเปลี่ยนมือ คือมีทั้งคนอยากขาย และมีคนอยากซื้อ เพียงแต่ตอนนี้ยังตกลงราคากันไม่ได้ ซึ่งก็เห็นว่ามีหลายโบรกเกอร์

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้(TSC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" โดยเชื่อว่าในที่สุดแล้วโบรกเกอร์ก็จะต้องออกมาในแนวทางการควบรวมกิจการ เพราะการแข่งขันในตลาดฯจำเป็นต้องมีมาร์เก็ตแชร์ในมือในระดับหนึ่ง บริษัทฯที่มีมาร์เก็ตแชร์น้อยเกินไปและไม่ได้ควบรวมกิจการกับใคร พอถึวเวลาเปิดเสรีแล้วก็จะแข่งขันลำบาก

ทั้งนี้ สมาคมโบรกเกอร์ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า โบรกเกอร์ไหนที่มีมาร์เก็ตแชร์ไม่ถึง 2% เมื่อมีการเปิดเสรีโบรกเกอร์แล้วจะลำบากในการแข่งขันทางธุรกิจ

"ตอนนี้ถ้าก.ล.ต.ไม่เลื่อนอะไรเลย ประมาณต้นปี 2553 ก็จะมีการเริ่มใช้คอมมิชชั่นแบบต่อรองได้ ซึ่งเป็นการเปิดให้กับผู้เล่นรายใหญ่ คือถ้ามีปริมาณการซื้อขายต่อวันเกิน 20 ล้านบาท ก็สามารถต่อรองเสรีได้กับโบรกฯในการจ่ายค่าคอมฯ ซึ่งก็เรียกกว่ากึ่งเสรี แล้วอีก 2 ปีจากปี 53 ก็จะเปิดเสรีเต็มที่ซึ่งก็ประมาณต้นปี 56 ทีนี้ถ้ามาร์เก็ตแชร์น้อยก็จะลำบาก ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีการควบรวมกัน"นายไพบูลย์ กล่าว

ขณะที่นายสาธิต กล่าวว่า อีก 2-3 ปีจะมีการเปิดเสรีโบรกเกอร์ คือ 2 ปี จะเป็น step แรก แล้วอีก 1 ปีขึ้นไป จะทยอยเปิดเป็นขั้นบันได รวมทั้งการให้ใบอนุญาตเสรีด้วย อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลหลายอย่าง การใช้ Capital ในการไปขอไลเซนต์ไม่จำเป็นต้องมากก็จริง แต่ระบบงานต่าง ๆ ควบคุมแค่นั้นไม่พออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการซื้อโบรกเกอร์ในปัจจุบันในราคาที่เหมาะสม ทำให้ไม่ต้องรออีก 2-3 ปีข้างหน้า

"คนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วจริง ๆ จะเข้าใจว่า การไปขอไลเซนต์ใหม่ ๆ เลยเนี่ย แล้วมา run ธุรกิจ อย่างไรก็ตามก็ต้องมีเงินทุนใส่เข้าไปอีก ดูเหมือนว่าเกณฑ์ของสำนักงานก.ล.ต.ที่มีการเปิดเสรีฯในประเภทต่าง ๆ มีใช้เงินทุนไม่มากก็ดี แต่การ set ระบบงานให้สามารถทำธุรกิจได้มันใช้เงินค่อนข้างเยอะมากกว่าทุนจดทะเบียนตามที่ก.ล.ต.กำหนด"นายสาธิต แสดงความเห็น

"อาจเป็นไปได้ที่จะมีคนสนใจซื้อกิจการที่มีอยู่แล้ว เพราะระบบงานมันมีอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าถ้าราคาลงมาอีกถึงจุดหนึ่ง ถ้าเป็นผม ผมไม่รอให้มีการเปิดเสรี"

*ทิศทางการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในปีหน้า

กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ธุรกิจหลักทรัพย์โดยรวมในปีหน้า(2552)น่าจะยังลำบากอยู่ เนื่องจากวอลุ่มเทรดของตลาดฯมองว่าน่าจะลดลงไปจากปีนี้(2551)อีก เพราะขนาดของตลาดลดลงไป โดยปีที่แล้ว(2550)มาร์เก็ตแคปของตลาดฯอยู่สักประมาณ 6-7 ล้านล้านบาท ขณะนี้อยู่ที่ 3-4 ล้านล้านบาท ปริมาณการซื้อขายก็ลดลงไปตามสัดส่วน

ขณะที่นายสาธิต กล่าวว่า คู่แข่งในธุรกิจหลักทรัพย์มีมากขึ้น และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บโดยเฉลี่ยแล้วลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากมีการเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งกันมากขึ้น ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่า 0.25% ในบัญชี Cash ของลูกค้าปกติ ซึ่ง Yield เฉลี่ยของทั้งระบบจะอยู่ประมาณ 0.2% กว่า ๆ นิดเดียวเอง และปีหน้า(2552)ก็ลดลงอีก

"วอลุ่มลดลง ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บก็จะต่ำลงไป ผมว่าธุรกิจหลักทรัพย์ค่อนข้างจะเหนื่อย สำหรับปีหน้า"นายสาธิต กล่าว

แนวทางในระยะสั้นคงมองเรื่องต้นทุนที่จะต้องลดลงก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าการตลาด กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำในช่วงหลายปีที่แล้ว ซึ่งพวกนี้เป็นต้นทุนทั้งนั้น การขยายสาขา หรือสาขาที่ไม่สามารถถึงจุด Break Event ได้ก็อาจจะต้องปิดลง

นายสาธิต กล่าวว่า หากสถานการณ์เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็คงยังไม่ดีในช่วงปลายปีนี้(2551) ในระยะสั้นคงเป็นเรื่องของตลาดฯลงไปแรง อาจะเป็นการปรับพอร์ตของสถาบันในประเทศ แต่ผู้ลงทุนที่เป็นตัวหลักที่จะทำให้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคึกคัก คือ ต่างชาติ น่าจะยังลดลง

"ผมคิดว่าปีหน้าวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะมีประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท แต่วอลุ่มเทรดแค่นี้เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจของโบรกเกอร์แล้ว จะเห็นได้ว่าส่วนหนึ่งของโบรกเกอร์ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนในการทำธุรกิจนะ"นายสาธิต กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ