CPFคาดปี 52 รายได้โตเพียง 5%จาก 1.5 แสนลบ.ปี 51/ลดเงินลงทุนเหลือ 2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday December 20, 2008 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) คาดว่ารายได้ในปี52 จะเติบโต 5% จากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.5 แสนล้านบาท หรือโต 15% จากปี 50 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง ขณะที่คาดว่า อัตรากำไรสุทธิ ปี 52 คาดใกล้เคียงปี 51 ที่อยู่ระดับ 3%

"ในปีหน้า แม้ยอดขายจะไม่โตขึ้นเท่าไร แต่ในส่วนผลกำไรคงไม่น้อยกว่าปี 51 ซึ่งในปี 52 จะเป็นปีที่เรามุ่งเน้นในการสร้างแบรนด์ "ซีพี" ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน"นายอดิเรก กล่าว

ส่วนในปี 51 กำไรสุทธิ ก็คงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเห็นได้จากกำไรสุทธิ จาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายที่คาดไว้ จากราคาวัตถุดิบปรับตัวลง และ เชื่อว่าหลังจากที่ผลประกอบการในไตรมาส 4 ออกมา ก็คงเห็นการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน

ในงวด 9 เดือนในปี 51 CPF มีกำไรสุทธิ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.1 พันล้านบาท

นอกจากนี้ ในปี 52 บริษัทจะหันไปเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนจากส่งออก 20% ของรายได้โดยคาดว่าจะเติบโต 10% จากปีนี้ เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศ โดยจะเน้น ตลาดรัสเซียและอินเดียที่ยังมีความต้องการเนื้อสัตว์สูงอยู่ รวมทั้ง จะเพิ่มสินค้าอาหารพร้อมรับประทาน เช่น เบอร์เกอร์กุ้ง เป็นต้น

นายอดิเรก กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวในปีหน้า ทำให้บริษัทลดวงเงินลงทุนเหลือ ประมาณ 2 พันล้านบาท จากที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 5 พันล้านบาท ทั้งนี้ตามแผนเดิมจะลงทุนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าปีละ 5 พันล้านบาท แต่ขณะนี้จะลดวงเงินลงทุนเหลือปีละประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนอาหารแปรรูป เพิ่มช่องทางการขายและสร้างแบรนด์ โดยจะขยายร้านซีพีเฟรชมาร์ทให้ครบ 1 พันจุดภายในปี 53

"ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้เราคงจะลดเม็ดเงินที่จะลงทุนลงเหลือ 2 พันล้านบาทจากที่เราเคยลงทุนเฉลี่ยปีละ 5 พันล้านบาท เพราะเราไม่รู้ว่า ต่อไปจะเป็นยังไง แต่ในเรื่องการลงทุนเทคโนโลยีไม่ลดละอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้สามารถการันตีในคุณภาพของเราต่อผู้บริโภค"นายอดิเรก กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายที่ยังเป็นครัวของโลก จะหันมาเพิ่มการผลิตอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ใน 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนอาหารสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 50%

ส่วนการออกหุ้นกู้ของบริษัทที่ยังเหลือวงเงิน 3 พันล้านบาทจากวงเงินทั้งหมด 1.5 หมื่นล้านบาท นายอดิเรกกล่าวว่า คงจะต้องดูภาวะตลาดก่อนรวมทั้งผู้ลงทุน หากมีความสนใจมาก ก็อาจจะเห็นการออกหุ้นกู้ในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม นายอดิเรก กล่าวว่า หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการปรับประมาณการตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทย จากเดิมโต 3-4% ปรับเหลือโต 1-2% แต่ก็เห็นว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้น และนักธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้นด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ