นักวิเคราะห์ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะยังคงเคลื่อนตัวผันผวนและไร้ทิศทางในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าแผนให้ความช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ในสหรัฐที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช อนุมัติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ไม่มากพอที่จะกอบกู้วิกฤตการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ได้
รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติเงินกู้ฉุกเฉินจำนวน 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และไครสเลอร์ แอลแอลซี ให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลาย โดยมีเป้าหมายที่จะปกป้องเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยรุนแรง โดยเงินกู้ฉุกเฉินดังกล่าวแบ่งมาจากงบประมาณในแผนกู้วิกฤตการเงินสหรัฐมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งจีเอ็มและไครสเลอร์จะสามารถนำเงินจำนวน 1.34 หมื่นล้านดอลลาร์มาใช้ได้ตั้งแต่เดือนนี้เละเดือนถัดไป
ทั้งนี้ จีเอ็มจะได้เงินจำนวน 9.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ไครสเลอร์จะได้ไป 4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลืออีก 4 พันล้านดอลลาร์นั้นจะทยอยจัดสรรเพิ่มเติมในภายหลัง โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัททั้ง 2 แห่ง จะต้องเร่งปรับโครงสร้างบริษัทให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มีนาคมปีหน้า
เอเลน เกลย์ นักวิเคราะห์จากไรจ์เวิร์ธ อินเวสท์เมนท์ กล่าวว่า แผนการให้ความช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ในรูปของการปล่อยวงเงินกู้ฉุกเฉินมูลค่า 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์ นับเป็นวงเงินที่น้อยเกินคาด และยังไม่มากพอที่จะประคับประคองจีเอ็มและไครสเลอร์ให้หลุดพ้นจากภาวะวิกฤตในขณะนี้ไปได้ โดยทันทีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศใช้แผนการดังกล่าว ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังปิดร่วงลง 25.88 จุด หรือ 0.30% แตะที่ 8,579.11 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันจันทร์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีการผลิตทั่วประเทศเดือนพ.ย. วันอังคาร กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขั้นสุดท้ายประจำไตรมาส 3, มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค. และ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.
วันพุธกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย. ส่วนวันพฤหัสบดีที่ 25 ธ.ค.ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส สำนักข่าวเอพีรายงาน