หุ้น TFI ราคาวิ่งขึ้น 4.60% มาอยู่ที่ 0.91 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 11.27 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.41 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.88 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.93 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.88 บาท
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ราคาหุ้น บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี(TFI) เช้านี้ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเป็นแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็ก และ TFI ก็ยังมีประเด็นในเรื่องการจ่ายเงินปันผลปีนี้ หากจ่ายจริงก็จะถือว่าเป็นการจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ทั้งนี้ สัญญาณทางเทคนิคแสดงทิศทางไซต์เวย์ โดยมีแนวรับ 0.88 บาท แนวต้าน 1 บาท พร้อมแนะรอให้ราคาอ่อนตัวลงก่อนค่อยเข้าไปซื้อเก็งกำไร
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า ราคาหุ้น TFI ปรับตัวขึ้นในเช้านี้ ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่าจะเป็นผลจาการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน เนื่องจากเห็นว่าเทคนิคอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้แล้ว ยังมีการมองถึงประเด็นเดิมในเรื่องกองทุนต่างชาติ ยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นจากธนาคารกรุงเทพ(BBL)ขั้นต่ำประมาณ 25 ล้านหุ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
ล่าสุดเมื่อ 3 เมษายน 2551 ปรากฏว่า ธนาคารกรุงเทพ ถือหุ้น TFI อยู่ 52.19 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 4.90%
ด้าน แหล่งข่าวจาก บมจ. ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นขยับขึ้นมาจากการเก็งกำไรและลุ้นการจ่ายปันผลเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนั้น น่าจะเป็นเพียงการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์เท่านั้น ทั้งนี้บริษัทยังไม่มีได้การเรียกประชุมบอร์ด หรือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเลย
"บริษัทยังไม่ได้มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเลย และบอร์ดก็ยังไม่มีการประชุมอะไรกันเลย ยังไม่มีมติใดๆ ออกมาเลย ส่วนราคาที่ปรับตัวขึ้นมา ผู้บริหารไม่ทราบจริงๆ"แหล่งข่าว กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร TFI เคยให้สัมภาษณ์"อินโฟเควสท์" ระบุว่า ผลประกอบการในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกทำรายได้รวม 3.5 พันล้านบาท และพลิกมีกำไรสุทธิ 375.05 ล้านบาท เทียบกับปี 50 ที่มีรายได้รวม 6 พันล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 137.47 ล้านบาท
สาเหตุหลักคือมาจากสถานการณ์ราคาน้ำมันและเม็ดพลาสติกที่ปรับสูงขึ้นในช่วงต้นปี ซึ่งบริษัทสามารถปรับราคาขายบี.โอ.พี.พี.ฟิล์ม ได้ตามผลกระทบที่ได้รับจากเม็ดพลาสติกพีพีได้ตามต้นทุนจริง แต่พอมาปลายปียอมรับว่าเจ็บตัวนิดหน่อย
ขณะเดียวกันก็มีแผนการล้างขาดทุนสะสมที่มีไม่ถึง 500 ล้านบาท ด้วยผลกำไรเพียงอย่างเดียว