ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐตัดสินให้ความช่วยเหลือบริษัท จีแม็ค (GMAC) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการเงินในเครือของเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) อย่างไรก็ตาม ตลาดถูกกดดันจากข้อมูลค้าปลีกที่ซบเซา ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าโอกาสที่ดัชนีดาวโจนส์จะพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงปลายปีมีน้อยลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 47.07 จุด หรือ 0.56% แตะที่ 8,515.55 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.65 จุด หรือ 0.54% แตะที่ 872.80 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 5.34 จุด หรือ 0.35% แตะที่ 1,530.24 จุด
ปริมมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.71 พันล้านหุ้น เมื่อเทียบกับวันพุธที่ 3.63 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1
ฮิวจ์ จอห์นสัน นักวิเคราะห์จากบริษัท จอห์นสัน อิลลิงตัน แอดไวซอรีส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักในช่วงเช้า หลังจากมาสเตอร์การ์ด แอ็ดไวเซอร์ส เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐช่วงเทศกาลวันหยุดร่วงลงอย่างหนักถึง 4% พร้อมระบุว่าตัวเลขการใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มทำข้อมูลในปี 2545 เนื่องจากผู้บริโภคควบคุมการใช้จ่ายด้วยการเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น ด้วยการลดการซื้อเสื้อผ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องประดับอัญมณี
ไมเคิล แมคนามารา รองประธานฝ่ายวิเคราะห์และวิจัยของมาสเตอร์การ์ดได้ประมาณการยอดขายที่ไม่นับรวมยานยนต์และน้ำมันเบนซินซึ่งปรับตัวลดลง 2% สู่ระดับ 4% นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค.2551 ทั้งนี้ก็เพราะผู้บริโภคกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากจากภาวะตลาดสินเชื่อตึงตัวและอัตราว่างงานที่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี ทำให้ต้องลดทอนรายจ่ายในการซื้อของขวัญลง ซึ่งภาวะดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตัวเลขผลกำไรของร้านค้าและทำให้บรรยากาศการซื้อช่วงเทศกาลวันหยุดซบเซามากที่สุดในรอบ 4 ปี
นอกจากนี้ ช็อปเปอร์แทร็ค อาร์ซีที ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยผู้บริโภคที่มีชื่อเสียงของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสของสหรัฐร่วงลง 24% จากปีที่แล้ว แม้ห้างร้านในสหรัฐพยายามลดราคาสินค้าลงอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดผู้บริโภคให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้วันหยุดในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ของสหรัฐปีนี้อาจเป็นฤดูกาลที่เงียบเหงาที่สุดในรอบ 40 ปี แต่ต่อมาในช่วงบ่าย ตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มดีดตัวขึ้นสู่แดนบวก หลังจากมีรายงานว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อนุมัติให้บริษัทสินเชื่อเพื่อรถยนต์ "จีแม็ก" (GMAC) เปลี่ยนสถานะเป็นธนาคารโฮลดิ้ง ซึ่งการเปลี่ยนสถานะจีแม็กเป็นธนาคารโฮลดิ้งถือเป็นการเปิดทางให้จีแม็กสามารถเข้าถึงกองทุนฟื้นฟูภาคการเงิน 700 พันล้านดอลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ และจะทำให้จีแม็กสามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ให้กับลูกค้าจีเอ็มได้ต่อไป
ภายใต้การเปลี่ยนสถานะดังกล่าว เซอร์เบรัส แคปิตอล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในจีแม็ก และจีเอ็มซึ่งถือหุ้นส่วนน้อยในจีแม็กจะหมดอำนาจในการบริหารโดยสิ้นเชิง ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า การช่วยเหลือจีแม็กคือการช่วยเหลือจีเอ็มให้อยู่รอดอีกทางหนึ่ง ซึ่งความอยู่รอดของจีเอ็มนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อความอยู่รอดของผู้จำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์และผู้จัดจำหน่ายยานยนต์ทั้งระบบ
ทั้งนี้ หุ้นจีแม็กพุ่งขึ้น 88.5% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการที่ราคาหุ้นจีแม็กพุ่งขึ้นเหนือความคาดหมายเป็นเพียงเพราะนักลงทุนมีปฏิกริยาในด้านบวกต่อข่าวดังกล่าวมากเกินไป และกล่าวว่าสถานการณ์ของจีแม็กอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด