บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จะเซ็นสัญญาสนับสนุนทางการเงินมูลค่า 10,000 ล้านบาท กับ 5 ธนาคาร เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวใน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วม ,โครงการขยายกำลังการผลิตโพรพิลีน ,โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเอบีเอสและเอสเอเอ็น , โครงการขยายกำลังการผลิตเอบีเอส — ซีซีเอ็ม และโครงการขยายกำลังการผลิต เอชดีพีอี (Pipe Grade)
ทั้งนี้ 5 ธนาคารได้แก่ ธ.กรุงเทพ(BBL) ธ.กสิกรไทย (KBANK) ธ.ไทยพาณิชย์(SCB) ธ.กรุงไทย(KTB) และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
นายสุพล ทับทิมเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวกับ “อินโฟเควสท์" ว่า การกู้เงินดังกล่าวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท และใช้ลงทุนในโครงการต่อเนื่อง โดยจะมี 2 โครงการที่จะแล้วเสร็จในเดือน ม.ค.52 นอกจากนี้เป็นการขอวงเงินกู้เพื่อสำรองไว้ในการลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเอบีเอสและเอสเอเอ็น, โครงการขยายกำลังการผลิตเอบีเอส-ซีซีเอ็ม และโครงการขยายกำลังการผลิตเอชดีพีอี(Pipe Grade)
ส่วนโครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนเพียง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังการผลิต 200 เมกกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้ภายในโรงกลั่นของบริษัทที่คาดว่าจะลดลงอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาผู้รับเหมา คาดว่าค่าก่อสร้างจะปรับตัวลดลงจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวลดลง
นายสุพล กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทจะชะลอแผนการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งหมดไว้ก่อนตามปัจจัยเศรษฐกิจ รอทบทวนผลตอบแทนโครงการที่จะมีการประเมินตัวเลข และความคุ้มค่าในการลงทุนใหม่ทั้งหมด ได้แก่ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นโรงกลั่นน้ำมัน ตามมาตรฐาน Euro IV เป็นต้น
“ปีหน้าเป็นปีที่ต้องกวาดเก็บบ้าน ชะลอการลงทุนทั้งหมด เพราะธุรกิจโรงกลั่นได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเกิดผลขาดทุนในโรงกลั่นแต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะอยู่ที่เท่าใด การกู้เงินจากธนาคาร 1 หมื่นล้านบาท เป็นการเปิดวงเงินเพื่อสำรองสภาพคล่องไว้มากกว่าต้องการลงทุนขนาดใหญ่" นายสุพล กล่าว
ก่อนหน้านี้ IRPC มีแผนจะลงทุนในโครงการระยะที่ 2(ปี 52-54) มูลค่าลงทุนโครงการรวมเบื้องต้นประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ โครงการปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันเพื่อเพิ่มประสิทธิการกลั่นและเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมัน โครงการเพิ่มกำลังการผลิตโพรพีลีน และโครงการปรับปรุงท่าเรือ ขณะที่ โครงการลงทุนระยะที่ 1 (ปี 50 - 52) ใช้เงินลงทุนประมาณ 288.7 ล้านเหรียญสหรัฐ