นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอกรัฐวิศวกรรม (AKR) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 52 ไว้ที่ 4 พันล้านบาท จากปี 51 ที่คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท โดยยอดขาย 4 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากเอกรัฐวิศวกรรมประมาณ 1.9-2 พันล้านบาท และจากบริษัทลูกคือ เอกรัฐโซล่าร์ อีกประมาณ 2 พันล้านบาท
โดยปีนี้เอกรัฐโซล่าร์จะรับงานมากขึ้น จากประมาณ 450 กว่าล้านบาทในปีที่แล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท
"ปีนี้เราจะเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ...ปีนี้คงจะทำงานได้มากพอสมควร ประมาณ 70% ของกำลังการผลิต โดยปีนี้จะรับงานในนามเอกรัฐโซล่าร์อย่างเดียวประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ส่วนใหญ่ประมาณ 95% เป็นการขายแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไปต่างประเทศ เช่น ยุโรป เยอรมัน อิตาลี สเปน"นายเกียรติพงศ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า ในจำนวนงานที่กล่าวมา รวมถึงออเดอร์ล๊อตใหญ่ระดับพันล้านบาทในประเทศเยอรมันที่กำลังจะมีการเซ็นสัญญากันในกลางเดือน ม.ค.นี้ ด้วย
นายเกียรติพงศ์ ยังเชื่อว่าว่า ปีนี้เอกรัฐโซล่าร์จะกลับมามีกำไรแน่นอน
"จริงๆ ปีที่แล้วเอกรัฐวิศวกรรมมีกำไรจากหม้อแปลงมากกว่าปี 50 แต่เผอิญ Consolidate การผลิตโซล่าร์เซลล์ของเอกรัฐโซล่าร์เพราะบริษัทเปิดใหม่หักค่าเสื่อมราคา เครื่องจักรต่างๆ เยอะแยะ แต่ถ้าปีนี้ตัวโซล่าร์ยอดขายถึง 2 พันล้านบาทก็เพียงพอที่จะถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ก็ไม่ต้องไปดึงจากเอกรัฐวิศวกรรม ฉะนั้นบริษัทก็จะมีกำไรจาก 2 ทาง"นายเกียรติพงศ์ กล่าว
ปัจจุบัน AKR มีงานในมือประมาณ 2 พันล้านบาท แบ่งเป็นงานโซล่าเซลล์กว่า 1 พันล้านบาท และงานหม้อแปลงไฟฟ้าอีกกว่า 700 ล้านบาท
*คาด"เอกรัฐโซล่าร์"ขายหุ้นให้ PP กลางปี 52,เข้าตลาด mai กลางปี 53
ส่วนแผนการนำบริษัทลูกคือ เอกรัฐโซล่าร์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai นั้น นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า คาดว่าจะขายหุ้น PP ให้พันธมิตรได้ประมาณกลางปี 52 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ประมาณกลางปี 53 โดยระบุว่าพันธมิตรที่ว่าจะเข้ามาเป็น Strategic Partner ถือหุ้น 49% ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ แต่อยู่ในวงการเดียวกัน และมองเห็นอนาคตของโซล่าร์เซลล์ ส่วนหุ้นที่เหลืออีก 51% AKR จะถือไว้เอง
"คาดว่ากว่าจะเข้า mai ได้ก็คงกลางปี 53 เพราะที่ปรึกษาการเงินให้ความเห็นว่าจังหวะตอนนี้กว่าจะหาผู้ร่วมทุนได้ก็คงกลางปีนี้ กว่าจะเริ่มทำระบบ เริ่มเห็นผลกำไร เพราะฉะนั้นกลางปี 53 น่าจะเข้าตลาดฯได้ ส่วนไฟลิ่งที่เคยยื่นไปแล้วก็คงต้องยื่นใหม่...ใครๆ ก็เข้าใจ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีใครอยากเอาเงินมาลงทุน แต่เราก็ไม่เดือดร้อนเพราะเครื่องจักรโรงงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแต่เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งออเดอร์ที่มีเข้ามาก็เป็นออเดอร์ระยะเวลาสั้นๆ ซื้อของมาทำภายใน 2 เดือนส่งมอบ ใช้เงินลงทุนไม่มาก"นายเกียรติพงศ์ กล่าว
*ไม่ปิดประตูทำงานร่วมกับ SOLAR หาก Win Win
นายเกียรติพงศ์ กล่าวถึงโอกาสที่จะควบรวมกับ บมจ.โซลาร์ตรอน (SOLAR) ว่า ก็มีการศึกษากันไปเรื่อยๆ ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต่างคนต่างมีความแข็งแกร่งพอๆ กัน สิ่งที่จะต้องคุยกันอีกยาวว่าสถานการณ์ในอนาคตจำเป็นต้องทำหรือไม่ ทำแล้วต้อง Win Win ทั้งคู่
"เราไม่มีปัญหา หากต้องทำงานร่วมกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เกิดผมผลิตไม่ทันอาจจะไปขอร้องให้เค้าช่วยผลิตให้ผมก็ได้ เรื่องอะไรจะไปให้คนต่างประเทศทำ เราก็ให้คนไทยด้วยกันทำสิ เงินจะได้หมุนเวียนในประเทศ"นายเกียรติพงศ์ กล่าว