ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) เนื่อจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดาวโจนส์ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อวันศุกร์ แม้มีรายงานว่าบารัค โอบามา สนับสนุนใช้มาตรการเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ก็ตาม
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 81.80 จุด หรือ 0.91% แตะที่ 8,952.89 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 4.35 จุด หรือ 0.47% แตะที่ 927.45 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 4.18 จุด หรือ 0.26% แตะที่ 1,628.03 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ 1.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.79 พันล้านหุ้น
นักลงทุนกระหน่ำขายทำกำไรและมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขาย แม้หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของคณะทำงานบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า โอบามา กำลังผลักดันให้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการลดหย่อนภาษีซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับที่โอบามาเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโอบามาอาจมีวงเงินสูงถึง 7.75 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจากงบประมาณจำนวนนี้จะถูกนำมาใช้ในมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์
มิทช์ แมคคอนเนลล์ หัวหน้าเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ สังกัดพรรครีพับลิกัน กล่าวให้สัมภาษณ์ทางรายการ "This Week" ของสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า มาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์เป็นหนึ่งในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะได้รับการอนุมัติจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส และจากการหยั่งเสียงเบื้องต้นพบว่า พรรครีพับลิกันให้การสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษีครั้งนี้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในแนวทางที่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภค
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคเดโมแครตกล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของโอบามามีเป้าหมายที่จะเพิ่มตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคให้ได้กว่า 1.40 แสนล้านดอลลาร์ ผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี โดยจะลดหย่อนภาษี 500 ดอลลาร์สำหรับบุคลทั่วไป และ 1,000 ดอลลาร์สำหรับคู่สมรส
ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาขานรับความคิดของโอบามา โดยนางเจเน็ท เยลเลน ผู้ว่าการเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในที่ประชุมนักเศรษฐศาสตร์ที่ซานฟรานซิสโกว่า รัฐบาลสหรัฐควรใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชาล์ส อีแวนส์ ผู้ว่าการเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า มาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ควรมีวงเงินที่สูงมากพอที่จะรองรับภาวะตึงตัวในระบบเศรษฐกิจ
หุ้นบริษัทเวริซอน คอมมิวนิเคชันส์และเอทีแอนด์ทีร่วงลงหลังบริษัท เบิร์นสไตน์ รีเสิร์ชปรับลดอันดับความน่าลงทุนของ 2 บริษัท โดยระบุว่า ราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเร็วเกินไป ขณะที่คาดว่าการขยายตัว ของธุรกิจสื่อสารไร้สายชะลอตัวลงและผลประกอบการธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานย่ำแย่ลง
หุ้นแอปเปิล อิงค์พุ่งขึ้น 4.2% หลังนายสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอแอปเปิบ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับสุขภาพของเขา ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงด้วยหลังดอยช์ แบงก์ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 16 แห่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค โดยหุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลงเกือบ 7%
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทเลคอมร่วงลง 3.9% หลังเบิร์นสไตน์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนและราคาเป้าหมายของเอทีแอนด์ทีและเวริซอน โดยหุ้นเวริซอนร่วง 6.2% และหุ้นเอทีแอนด์ทีร่วง 3.4% ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหลังดอยช์ แบงก์ระบุว่า หนี้สูญของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้น 3% ภายในสิ้นปี 2553 เมื่อเทียบกับระดับ 1.5% ในไตรมาส 3 ของปี 2551