นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. เอ็ม บี เค (MBK) เปิดเผยว่า บริษัทแตกไลน์ธุรกิจรับบริหารจัดการศูนย์การค้า ประเภท Shopping Center หรือ การบริหารพื้นที่เช่า และ เมืองท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัท และรองรับนักลงทุนที่ต้องการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้า แต่ไม่มีประสบการณ์และความพร้อมในการบริหารจัดการ โดยขณะนี้มีการเจรจาแล้ว 2-3 ราย
"การรับบริหารศูนย์การค้า หรือพื้นที่ให้เช่า ไม่ได้ใช้เงินมากมาย และเราก็ศึกษามานาน ...บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาในการเข้าไปรับบริหาร 2-3 แห่ง แต่จะได้ข้อสรุปเมื่อไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์" นายสุเวทย์ กล่าว
ทั้งนี้ ในการพัฒนาศูนย์การค้า หรือ Community Mall เน้นทำเลที่ตั้งกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็น ส่วนการรับบริหารพื้นที่ให้เช่า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า โดยเป็นการนำประสบการณ์บริหารศูนย์การค้า MBK นายกว่า 25 ปี โดยบริษัทคงจะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแลส่วนธุรกิจดังกล่าว แต่ยอมรับว่ารายได้จากการบริหารคงจะไม่มาก เมื่อเทียบกับรายได้รวม แต่จะเป็นรายได้เสริมให้กับบริษัทในอนาคต
ส่วนการลงทุนของบริษัทในปี 51/52 ตั้งงบไว้ที่ 2 พันล้านบาท ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการสร้างศูนย์การค้าขนาดย่อม (Community Mall) ที่พรีมียร์พระราม 9 , โครงการปรับปรุงศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์, โครงการสร้างโรงแรมระดับ 3 ดาวในสนามล็อคปาล์ม กอล์ฟ คอร์ส ที่จ.ภูเก็ต , โครงการปรับปรุงห้องพักที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส , โครงการสนามกอล์ฟที่จ.ปทุมธานีที่จะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในปีนี้
"ในปี 52 คงเป็นปีที่ต้องเหนื่อย และยากลำบาก เราจึงต้องวางแผนให้รอบคอบ อย่างบางแห่งเราจำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อนหรือชะลอ ก็ต้องทำ"นายสุเวทย์ กล่าว
สำหรับโครงการบางส่วนที่ชะลอออกไป ได้แก่ โครงการสร้างโรงแรมที่เกาะสมุย โครงการสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาวที่จ.ถูเก็ต ซึ่งทั้งสองแห่งจะรอดูสถานการณ์และตัดสินใจอีกครั้งในต้นปี 53 นอกจากนี้มี โครงการพัฒนาที่ดินเพื่อขาย โดยปัจจุบันบริษัทยังมีที่ดินที่พัฒนาเพื่อขายอยู่จำนวน 500 กว่าไร่ แบ่งเป็น ที่จ.ปทุมธานี 300 ไร่ และที่จ.ภูเก็ต 200 กว่าไร่ ซึ่งทั้งสองแห่งไม่ได้เร่งรีบพัฒนาท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีจำนวนนักท่อเงที่ยวต่างชาติลดลง
*รายได้รวมปี 52 โต 3% ปรับกลยุทธ์เชิงรุก
นายสุเวทย์ คาดว่า รายได้รวมในปี 52 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3% หรือต้องไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยปี 51 (สิ้นสุดมิ.ย.) มีรายได้รวม 6.28 พันล้านบาท
ดังนั้น ในปี 52 บริษัทได้กำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และเหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่มีความผันผวนจนเป็นเหตุให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยลดลง รวมทั้งจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในไทยลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจสนามกอล์ฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจของบริษัท รวมทั้ง ปรับกลยุทธฺ์ทางการตลาดให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
"ผมยอมรับว่าเดิมเคยคิดว่ารายได้รวมของธุรกิจเรา จะเติบโตได้ไม่มาก 0-3% ก็ถือเป็นระดับทั่ผมพอใจ แต่ในแง่ของกำไร จะดูแลไม่ให้น้อยกว่าเดิมแน่นอน และธุรกิจข้าว ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่ยังคงเป็นธุรกิจสร้างรายได้ต่อเนื่งอจากปีนี้"นายสุเวทย์ กล่าว
ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจข้าวมาบุญครองมี 30% ของรายได้รวม , ศูนย์การค้า MBK Center 30% , ธุรกิจโรงแรม 18% , สร้างบ้านขาย 6% , สนามกอล์ฟ 2% และที่เหลือเป็นรายได้อื่น เช่นดอกเบี้ยรับ
นายสุเวทย์ ยอมรับว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในเดือน ก.ย. 51 บริษัทได้รับผลกระทบ ประกอบกับเกิดเหตุการณ์ปิดสนามบินทำให้อัตราผู้เข้าพักโรงแรมของบริษัทลดลง ได้แก่ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส โรงแรมใน จ.กระบี่ และ จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ดี ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาอัตราเข้าพักที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซสได้กลับมาปกติที่ 80-90% จากที่เคยลดลงไปเหลือ 20-30%
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มงบการตลาด และดูแล ศูนย์การค้า MBK Center โดยค่าเช่าพื้นที่คงจะปรับขึ้นไม่ได้มากนักตามสัญญาที่จะปรับเฉลี่ย 4%ต่อปี
ด้านนายวินัย ศรีชอบธรรม ผู้ช้วยกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด MBK กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ธูรกิจศูนย์การค้าในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 4% หรือต้องไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยเร่งปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกมากขึ้น มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งไทยและต่างชาติ โดยเตรียมงบประมาณด้านการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร รวมถึงเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์เป็นภาษาอื่นนอกเหนือภาษาอังกฤษ และเพิ่มช่องทางเข้าเว็บไซด์
ส่วนหุ้นกู้จำนวน 5 พันล้านบาทที่บริษัทเคยขอมติจากผู้ถือหุ้นไว้แล้ว นายสุเวทย์ กล่าวว่า คงต้องดูสถานการณ์และจังหวะการเสนอขาย หากจะเสนอขายก็ต่อเมื่อต้องการเงินลงทุน แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีเงินทุนที่เพียงพอ และเม็ดเงินลงทุน 2 พันล้านบาทได้มาจากการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีวงเงินกู้ระยะสั้นรองรับไว้บางส่วน