บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)หรือ DELTA ปรับแผนขยายฐานการผลิตในอินเดีย หันเน้นขยายทางตอนเหนือของประเทศก่อน โดยปี 52 มีแผนเปิดโรงงานใหม่เพิ่มอีก 1 โรง จากที่เปิดไปแล้ว 1 แห่งในปี 51 ขณะที่ชะลอแผนสร้างโรงงานใหม่ในรัฐเชนไนทางตอนใต้มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ออกไปก่อน
"ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดขยายในอินเดีย เพียงแต่จะเน้นขยายอยู่ตรงทางตอนเหนือของอินเดียก่อน ซึ่งเราสร้างโรงงานเสร็จไปแล้ว 1 โรง แต่ดูแล้ว capacity ไม่พอ ก็คงกำลังศึกษาเตรียมที่จะหาโรงงานแห่งต่อไปทางตอนเหนืออีก 1 โรง" นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริหาร DELTA กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แต่เดิมบริษัทวางเป้าหมายจะขยายฐานการผลิตทั้งตอนเหนือและตอนใต้ของอินเดียในปี 53 แต่ได้มีการปรับแผนงานที่จะมุ่งไปในตอนเหนือก่อน ส่วนทางเชนไนไม่ได้หยุดเพียงแค่ชะลอไว้ก่อน หลังจากศึกษาแล้วพบว่าหากทำพร้อมกันทั้งสองจะไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานที่จะกำหนดกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ โดยจะพิจารณาจากสภาพตลาดของอินเดียที่ขณะนี้แม้จะเกิดการผันผวนเล็กน้อย แต่มองว่าการผันผวนของตลาดเป็นลักษณะแค่ไม่น่าจะเกิน 1 หรือ 2 ไตรมาส ขณะที่โรงงานใหม่ก็คงใช้เวลาเป็นปีกว่าจะแล้วเสร็จ
ปัจจุบัน การผลิตของโรงงานในอินเดียมียอดขายประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังสามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดอินเดียใหญ่มาก โดยธุรกิจโทรคมนาคมในอินเดียยังเติบโตได้อีกมาก ยอดขายในปี 52 เดิมคาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 25% จากปี 51 แต่ ณ ขณะนี้อาจโตไม่ถึงตามเป้าหมายจากความผันผวนของตลาด แต่คงไม่ได้ลดลงจากปีก่อน
"อัตราการโตจะน้อยลงถ้าเทียบจากที่เคยตั้งเป้าไว้แต่เดิมน่าจะลดมา 20% ของอัตราการโต ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านก็ยังโตอยู่ เมื่อก่อนโต 50% พอปี 51 ก็วางแผนว่าจะโตน้อยลง โดยปีนี้กะว่าจะโต 25-30% แต่ก็ต้องกลับมาถามตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถอยหลังยังโตอยู่เพียงแต่อัตราการโตลดลง เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ เราก็ไม่น่าจะโตหวือหวาน่าจะโตอย่างมั่นคง"นายอนุสรณ์ กล่าว
สำหรับฐานการผลิตสินค้าในอินเดีย เป็นการประกอบชิ้นส่วนธรรมดาไม่ได้มีความซับซ้อน โดยโรงงานในไทยเป็นผู้ผลิตและส่งไปประกอบที่อินเดีย ซึ่งการลงทุนในอินเดียปี 52 คงไม่ถึง 600 ล้านบาทจากที่ตั้งเป้า เพื่อใช้ซื้อที่ดินสร้างอาคาร ด้านเครื่องจักรไม่ได้ลงทุนมากนัก
"ทางตอนเหนืออินเดียยังไม่ได้ใช้เงินมากใช้เงินไม่กี่ 100 ล้านบาท โดยใช้เงินบริษัท...เราเปลี่ยนแปลงฐานการผลิตอาจจะมาอยู่ตอนเหนือมากขึ้น ส่วนตัวอื่นที่อาจจะไปเช่าอยู่ก็พยายามยุบเข้ามาเป็นโรงงานของตัวเอง"นายอนุสรณ์ กล่าว
*วางกลยุทธเติบโตอย่างรัดกุม-มั่นใจมีสายป่านยาวพอรองรับขยายธุรกิจ
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปีนี้ไม่น่าจะหวือหวา แต่จะเป็นลักษณะของการตั้งรับรอดูสถานการณ์และดูโอกาส การเติบโตในปีนี้จะเน้นความรัดกุม ซึ่งการลงทุนในปีนี้อาจจะมีโอกาสดีๆ หลายๆ อย่างก้าวเข้ามา เพราะปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีเหมือนกับปีที่แล้ว อาจมีจังหวงะเหมาะให้เข้าลงทุนซื้อกิจการในราคาถูกแทนที่จะเข้าไปลงทุนเอง ดังนั้น ขณะนี้ก็ควรจะอยู่ในความสงบสักระยะหนึ่งเพื่อรอดูโอกาส
"ถ้าใครจะคุยว่าตลาดแบบนี้ทำอะไรหวือหวาก็อันตราย อย่างลูกค้ารวยๆ เมื่อวานนี้ ดีไม่ดีวันนี้ก็จนได้เพราะแบงก์มีปัญหา เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ควรจะรัดกุมรอบคอบ สไตล์ของผมและสไตล์ของ DELTA ที่ทำมาทุกก้าวที่เราก้าวไป เราชัวร์มาเสมอ เราไม่เล่นเกมเสี่ยง แม้สถานการณ์ตอนนี้เราก็ยังก้าวอย่างชัวร์ อัตราการโตอาจจะไม่ดีเหมือนแต่ก่อนแต่ก็จะไปอย่างมั่นคง" นายอนุสรณ์ กล่าว
สำหรับฐานะทางการเงินของบริษัทมีความพร้อมอย่างแข็งแกร่งที่จะลงทุน โดยล่าสุด บริษัทมีเงินสดในมือ 5,000-6,000 ล้านบาทและไม่มีเจ้าหนี้ ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบคู่แข่ง ขณะที่ยอดขายยังครองโลกและกระจายทั่วโลก ตลาดหลักยังเป็นยุโรป และอินเดีย ส่วนวิกฤตในสหรัฐไม่กระทบเรา เพราะเราเป็น local company และอินเดียเป็นเด็กกำลังโตยังส่งผลดีต่อบริษัท
ในปีนี้(52)ปัจจัยที่จะกระทบ คือ ภาวะตลาดโลกไม่ดีแน่นอนก็คงกระทบอย่างแน่นอน เนื่องจากตลาดโลกเกิดอาการปั่นป่วนลูกค้าหลายรายก็มีปัญหาการทำธุรกิจต้องระวังตัวคิดให้รอบคอบ บริษัทเล็กๆ จะโดนผลกระทบก่อน บริษัทที่มีสายป่านยาวๆน่าจะยังเป็นต่ออยู่ได้
ส่วนอุตฯยานยนต์เราพยายามจะเข้าเมื่อปีที่แล้วแต่เราเป็นน้องใหม่ จึงไม่ได้ทำเงินให้มากนัก ตอนนี้อุตสาหกรรมที่ทำรายได้หลักยังเป็นระบบสื่อสารและคอมพิวเตอร์เน็ทเวิร์ค
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืน เพราะบริษัทวาง direction ที่จะทำกำไรต่อหุ้นให้ออกมาสูงที่สุด
*รายได้ปี 51 ใกล้เคียงเป้า 1 พันล้านดอลลาร์-ยังมีกำไรสุทธิแม้ Q4 ศก.โลกกระทบหนัก
นายอนุสรณ์ มั่นใจว่า รายได้ในปี 51 ยังน่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่อยู่ที่ 975 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกำไรสุทธิยังตอบยาก แต่เชื่อว่าใกล้เคียงกับปี 50 ที่ 3,155 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากไตรมาส 4/51
"(รายได้)ถึงไม่ใช่ก็เกือบใช่ ถ้าถามเมื่อก่อนก็ยังคิดว่าไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ถึงไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด ฟังดูแล้วมีเหตุผลว่าทำไมไม่เข้าเป้า"นายอนุสรณ์ กล่าว
"ไตรมาส 4 กระทบแน่ แต่ถ้าไปดูไตรมาส 3 เราทำมาค่อนข้างลอยตัวแล้ว ที่ผมไม่กล้าบอก เพราะไตรมาส 4 เรากระทบ ถ้าไม่กระทบตอนไตรมาส 4 วันนี้ผมคุยฟุ้งแล้ว แต่ไตรมาส 4 คุยไม่ออก แต่ก็ไม่ได้รุนแรง สรุปโดยรวมแผนการที่วางไว้ทั้งปีก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่ไม่ได้หล่อ"นายอนุสรณ์ กล่าว